Bee's Private Corner

Saturday, August 13, 2005

ตะลุยหลังคาโลก...

เมื่อเกือบ ๆ สองปีก่อน บีไปเนปาลกับเพื่อนมา รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้วางแผนที่จะไปธิเบตด้วย ก่อนหน้านั้น เพื่อนสนิทอีกคนนึงชวนบีไปเนปาลกะธิเบต แต่ว่าบีติดงานก้อเลยไปไม่ได้ เพื่อนบีเล่าว่าเค้าไปกะน้องสาว ตอนที่ไปธิเบตนั้น เค้าอ๊วกตลอดทาง แถมกลางคืนยังนอนไม่หลับด้วย ส่วนน้องสาวอาการไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ สาเหตุของอาการนี้น่ะหรือคะ ก้อเพราะว่าธิเบตนั้นอยู่สูงเหนือจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 3,600 เมตร ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของประเทศจีน หรือที่เนปาลนั้น อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียงประมาณ 500 กว่าเมตร (พวกตัวเลขอาจจะไม่ตรงทีเดียว แต่ก้อประมาณนี้ค่ะ) เหตุนี้เอง ธิเบตจึงมีอากาศที่เบาบาง มีออกซิเจนต่ำมาก ๆ ร่างกายจึงต้องมีการปรับตัวพอสมควร หลาย ๆ คนที่ไปธิเบตจึงเดี้ยง ที่โน่นเค้ามีขายทั้งสเปรย์กระป๋องบรรจุออกซิเจนให้สูด หมอนบรรจุออกซิเจน มีที่สำหรับเติมออกซิเจนซึ่งบรรจุอยู่ในถังเหมือนถังแก๊สอยู่ในโรงแรมคอยให้บริการด้วย บีเข้าใจว่า การที่ธิเบตอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากนี้เองที่ทำให้ธิเบตได้ชื่อว่าหลังคาโลก ถ้าบีเข้าใจผิด หรือมีใครอ่านเจอข้อสันนิษฐานของบี แล้วมันไม่ถูก ก้อยินดีรับคำแนะนำและข้อมูลที่ถูกต้องค่ะ

ปกติแล้ว พี่เขยบีจะจัดทริปไปประเทศจีนอยู่บ่อย ๆ เพื่อไปทำบุญนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่าง ๆ ในจีน บีก้อไม่ค่อยมีโอกาสร่วมเดินทางไปกะเค้าเท่าไหร่ เพราะมักจะติดงานเสมอ คุณแม่และพี่น้องของบีไปกับพี่เขยเป็นประจำ บางทีไปกันทั้งบ้าน เหลือบีกะพี่ชายเอง จนหลายเดือนก่อน เมื่อบีทราบว่าพี่เขยจะจัดทริปไปจีนและธิเบต (อันที่จริง บีก้อเพิ่งถึงบางอ้อในทริปนี้เองว่า ธิเบตก้อคือมณฑลนึงของประเทศจีน บีเคยคิดว่า ธิเบตคือประเทศซะอีก) บีก้อเลยตั้งปณิธานว่าจะต้องไปร่วมทริปนี้ให้ด้วย ซึ่งในที่สุดบีก้อได้ไปจริง ๆ ก่อนออกเดินทางบีดันเป็นไข้ตัวร้อน อาการไม่ดีเลย นึกว่าจะอดไปซะแล้ว ต้องหยุดงานติดกันสามวัน แล้วก้อไปฉีดยาทุกวันเพื่อให้หายไว ๆ ช่วงแรกของทริปอาการบีก้อยังไม่หายดี โชคดีที่ว่าช่วงสองสามวันแรกนั้น ใช้เวลาในมณฑลเสฉวน จึงมีโอกาสพักผ่อน ถ้าไปธิเบตเลยมีหวังจะแย่ด้วยข้อจำกัดด้านอากาศที่เบาบาง

ทริปนี้เริ่มตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ 16 ก.ค. จนถึงคืนวันอาทิตย์ที่ 24 ก.ค. โดยท่องเที่ยวหลัก ๆ ที่มณฑลเสฉวน (เมืองเฉิงตู ง้อไบ๊ เล่อซาน) เป็นเวลาประมาณสี่วัน แล้วก้อที่มณฑลธิเบตอีกเป็นเวลาสี่วัน ลักษณะของการท่องเที่ยวก้อจะมีทั้งการชมสถานที่สำคัญ ๆ แล้วก้อการทำบุญไหว้พระอย่างเคย

ที่เมืองจีนนั้น บีเคยไปก้อแต่กวางเจา ตอนนั้นพาคุณแม่และพี่สาวที่อยู่ในฮ่องกงไปเยี่ยมคุณน้า น้องสาวคุณแม่ซึ่งไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปี นับตั้งแต่คุณแม่และคุณพ่ออพยพครอบครัวมาอยู่ในประเทศไทย จำได้ว่าอยู่หลายวันพอควร แล้วก้อคุณน้าและสามีเค้า ทำอาหารเยอะแยะให้ทานจนเบื่อ เพราะว่ามันไม่มีรสเผ็ดเลย ตอนนั้นขำก้อขำ เพราะว่าคุณแม่คุยกับคุณน้าแบบว่าจีนปนไทย จนคุณน้างง บางทีพี่สาวต้องคอยแปลให้โดยแปลเป็นภาษากวางตุ้ง แล้วบีก้อมักชวนพี่สาวออกไปเดินช็อปปิ้งและหาอะไรอร่อย ๆ แปลก ๆ ทาน โดยที่มีคุณน้าคอยบ่นเกรงว่าเราจะหลงทาง แล้วก้อมักจะเรียกพวกเราทานข้าวก่อนที่จะออกไปข้างนอก หารู้ไม่ว่า บีไม่หลงง่าย ๆ หรอก เพราะว่าเดินทางบ่อย แล้วก้อช่างสังเกตด้วย

ทริปนี้ที่บีไม่ค่อยชอบก้อคือ อากาศในเสฉวนนั้นร้อน นี่ขนาดเค้าบอกว่าเมืองเฉิงตูถือว่าอากาศไม่ร้อนมากแล้ว คืออยู่ในระดับสามสิบกว่า ๆ แต่ขณะนั้นพวกเมืองเซี่ยงไฮ้ จะอยู่ที่สี่สิบองศา นอกจากนี้แล้ว ก้อยังมีฝนตกปรอย ๆ อยู่เรื่อย ๆ ให้รำคาญใจ เพราะต้องคอยถือร่มด้วย ส่วนอากาศที่ธิเบตจะเย็นกำลังสบาย มีฝนตกบ้างช่วงเช้า

ก่อนจะเข้าเรื่อง บีว่าเมืองจีนพัฒนาไปมากพอสมควรในเรื่องที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว โรงแรมที่บีพักทั้งในเสฉวน และในธิเบตต่างเป็นโรงแรมระดับสี่ดาวที่เรียกว่าดีทีเดียว มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน มีที่เป่าผมในห้องน้ำ มีอุปกรณ์ในห้องน้ำครบครัน มีรองเท้าผ้าให้ใส่ มีร่มให้ใช้ คือไม่น้อยหน้าโรงแรมในไทยเลย โดยเฉพาะโรงแรมในเสฉวน ดีมาก ๆ ค่ะ เรียกได้ว่าทริปนี้ พวกกระดาษทิชชูห่อใหญ่ ๆ ที่บีเตรียมไปตั้งหลายห่อ ไดร์เป่าผม แล้วก้อสัมภาระต่าง ๆ ที่คิดว่าจำเป็น กลับไม่ต้องใช้เลย เป็นพวกบ้าหอบฟางเพราะเกรงไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงเรื่องความสกปรกของห้องน้ำ เรื่องไดร์เป่าผมเพราะตอนนั้นบียิ่งเพิ่งฟื้นจากไข้ เกรงว่าไข้จะกลับเดี๋ยวจะแย่ไปกันใหญ่ พาลทำให้เที่ยวไม่สนุกไปด้วยก้อเลยจำต้องแบกไป

เที่ยวเมืองเฉิงตู

ไกด์ที่เราได้เป็นคนจีน ชื่อวสันต์ พูดไทยเก่งมาก ๆ อ่านภาษาไทยได้ด้วย มีมุขตลกเยอะ เห็นบอกว่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยเป็นหลักสูตรภาษาไทยล้วนที่มณฑลยูนนาน โดยเราจะมีไกด์ท้องถิ่นประจำรถด้วยซึ่งจะคอยพูดจีนอธิบาย เสร็จแล้วคุณวสันต์ก้อจะคอยแปล ไกด์ท้องถิ่นเราก้อหล่อไม่เบา มีเชื้อสายมองโกเลียและยุโรปตะวันออก หน้าคมเข้มและขาว แถมเวลาก่อนจะพูดออกไมค์ทีไร เค้าก้อจะคอยเป่าปาก เหมือนเป่ากบอะ เสียงก้อจะออกมาเป็นลมฟู่ ๆ ทั้งบีและพี่สาวขำตลอด แถมตอนหลังมีการทำเลียนแบบแซวเค้าด้วย

ถ้าบีจำไม่ผิด คือว่าบีฟังจากไกด์แล้วมาบันทึกเองทีหลังช่วงก่อนนอนน่ะค่ะ เค้าบอกว่าเมืองเฉิงตูเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน อากาศมักจะครึ้ม ๆ มัว ๆ ชื้น ๆ ตลอดทั้งปี ไม่ร้อนจัด ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ตั้งอยู่แบบว่าในหุบเขา อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 30 องศา ไม่เหมือนปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ที่จะมีอุณหภูมิถึง 40 องศาในฤดูร้อน และมีหิมะในฤดูหนาว

อาหารของมณฑลเสฉวนก้อจะเน้นที่รสเผ็ดและจัด คืนสุดท้ายก่อนกลับประเทศไทย เค้าก้อพาไปกินสุกี้เสฉวนซึ่งเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของมณฑลนี้ บีว่ามันก้อรสชาดแปลก ๆ ดีนะคะ จะมีซุปสองแบบในหม้อซึ่งเค้าจะแยกให้เป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นซุปใสแบบจืด ๆ และส่วนที่เป็นซุปเผ็ดซึ่งจะมีทั้งรสเผ็ด แถมทานแล้วจะชาที่ลิ้นเนื่องจากสมุนไพรบางตัวที่เค้าใส่ไว้ในซุป ในร้านอากาศค่อนข้างร้อน แล้วก้อคนเยอะมาก แบบว่าจอแจ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นวันเสาร์ด้วยรึป่าว น้ำจิ้มสุกี้ก้อจะเป็นน้ำมันงา แล้วให้เติมพวกเกลือ หรือพริกกันเอง ซึ่งต่างจากน้ำจิ้มของบ้านเรามาก หลาย ๆ คนในทริปไม่ค่อยชอบ แต่บีว่ารสชาดของสุกี้มันก้อแปลก ๆ ดี บีว่าอร่อยไปอีกแบบนึงนะคะ คุณวสันต์บอกว่า สุกี้เสฉวนแบบที่ famous มากที่สุดคือแบบ original ซึ่งหมายความว่า ซุปที่ใช้นั้นจะเป็นซุปเก่าที่เค้าเก็บไว้แล้วนำมาใช้เรื่อย ๆ พอคนทานเสร็จ ก้อจะตักเอาซุปไปเก็บไว้อีก เพื่อนำมาใช้ใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้น้ำซุปมีความเข้มข้นและอร่อย แต่คุณวสันต์บอกว่าเค้าคงไม่พาพวกเราไปทานสุกี้แบบออริจินัล เพราะคงเกรงว่าพวกเราจะรับประทานไม่ลง

ที่เฉิงตู เค้ามีสวนหมีแพนด้า ซึ่งไกด์บอกว่ามีแห่งเดียวในมณฑลเสฉวน และมีอยู่สิบกว่าตัวจากทั่วโลกที่มีอยู่ประมาณ 1,200 กว่าตัว ไกด์บอกว่าตอนนี้หมีแพนด้าจัดอยู่ในสัตว์ที่มีค่าที่สุดในโลกแล้วตอนนี้ บีก้อไม่แน่ใจนะคะว่าจริงรึป่าว ไกด์บอกว่า ปัจจุบันในประเทศจีนนั้น มีอยู่ 3 แห่งที่เป็น A Must to Visit นั่นก้อคือ 1. กำแพงเมืองจีนในปักกิ่ง 2. สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ในเมืองซีอาน และ 3. สวนหมีแพนด้า ในเมืองเฉิงตูซึ่งมีหมีแพนด้าเยอะที่สุดในประเทศจีนแล้ว เค้าบอกว่าสวนสัตว์ในปักกิ่งจะมีหมีแพนด้าเพียงสองตัว ส่วนมณฑลยูนนานไม่มีหมีแพนด้าเลย เนื่องจากภูมิอากาศไม่เหมาะ

ไปเที่ยวสวนหมีแพนด้า ก้อแวะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ก่อน เพื่อหาความรู้ ก่อนที่จะนั่งรถเข้าไปชม ซึ่งก้อได้เห็นหมีแพนด้าที่เรียกว่า giant panda อยู่หลายตัวทีเดียว ตัวมันก้อจะสกปรกเล็กน้อย คงเพราะอยู่กลางแจ้ง จะมีหลาย ๆ ตัวที่อยู่ในกรง ที่พวกเราเข้าไปเดินดูด้วย เราได้เข้าชมวีดีโอเกี่ยวกับชีวิตหมีแพนด้าด้วย ซึ่งน่าทึ่งมาก ๆ ๆ เลย หมีแพนด้านั้น เวลาที่เกิดออกมา พวกอวัยวะหลาย ๆ ส่วน เช่นตา หู จมูก ยังพัฒนาไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ ตัวแดง ๆ เล็ก ๆ ไม่ค่อยเห็นอวัยวะบนใบหน้าเลย ในวีดีโอเค้าอธิบายว่า หมีแพนด้ามีปัญหาหลายอย่างซึ่งทำให้มันใกล้จะสูญพันธุ์ หนึ่งในนั้นก้อคือว่า ช่วงเวลาผสมพันธุ์ มันจะหาคู่ลำบาก กว่าจะได้ผสมพันธุ์กันแทบแย่ นอกจากนั้นแล้ว ตอนที่มันคลอด โอกาสที่ลูกจะรอดนั้นน้อยมาก ตัวอย่างที่เค้าฉายในวีดีโอคือว่า แม่หมีแพนด้าคลอดลูกออกมาแบบเหมือนไม่ค่อยรู้ตัว แล้วมันก้อไล่เขี่ยแล้วก้อเหมือนเหยียบลูกมัน น่าสงสารมาก ๆ ๆ ๆ หมีแพนด้าค่อนข้างขี้เล่น แล้วก้อจะสนิทกับคนเลี้ยงเร็ว ในวีดีโอจะเห็นคนเลี้ยงนั่งกอดหมีแพนด้าด้วย น่ารักดี

นอกจากสวนหมีแพนด้าแล้ว เราก้อไปเยี่ยมชม และสักการะวัดอู่โหว หรือวัดขงเบ้ง ซึ่งสร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่ท่านขงเบ้ง ภายในมีรูปเหมือนของเล่าปี่และกวนอูซึ่งเป็นวีรบุรุษสมัยสามก๊ก ซึ่งเวลานั้นได้ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เฉิงตูนี้ ไกด์ได้เล่าประวัติอะไรมากมายเกี่ยวกับท่าน ๆ ที่สำคัญเหล่านี้ ซึ่งน่าสนใจดีค่ะ พวกรูปปั้นนั้นก้อใหญ่อลังการดี แวะดูสุสานของเล่าปี่ด้วย ไกด์เล่าว่า ที่เมืองจีนมีสุสานท่านเล่าปี่อยู่สองแห่ง ซึ่งก้อยังไม่มีใครทราบแน่นอนว่า สุสานไหนเป็นสุสานที่แท้จริงที่บรรจุศพของท่านเล่าปี่

ที่เฉิงตูมีการแสดงที่ขึ้นชื่อมาก ๆ ซึ่งบีคิดว่าถ้าใครไปเที่ยวเฉิงตู ไม่ควรพลาดเข้าชมการแสดงพื้นเมืองงิ้วหน้ากาก (Changing face & spitting fire show) เค้าสามารถเปลี่ยนหน้ากากตัวเองได้ไวมากแบบไม่รู้ว่าทำได้ไง ภายในเสี้ยววินาทีเอง เห็นเค้าเล่าว่า เป็นการแสดงที่อนุรักษ์มาก ๆ และเค้าจะเลือกคนที่จะมาเรียนการแสดงนี้ด้วย โดยมักจะให้ผู้ชายเรียน เค้าเล่าว่าดาราฮ่องกงหลิวเต๋อหัวเคยมาสมัครเรียน แต่พอสมัครได้แล้ว รัฐบาลจีนออกมาห้าม เพราะว่าสงวนให้เฉพาะคนจีนเรียนเท่านั้น จริง ๆ แล้วในการแสดงนั้น มีการแสดงหลายชุดทีเดียว อีกชุดนึงที่พวกเราชอบมาก ๆ ก้อคือชุดที่มีคนมาใช้มือสร้างเงาเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ มีทั้ง ม้า นก กระต่าย หรือว่าหมาป่ากำลังค่อย ๆ กระเดือกกระต่ายเข้าไปในท้อง อืมมมม มันเหมือนมาก ๆ เลยนะคะ มือเค้าช่างอ่อนและพริ้วไหว แสดงอะไรออกมาได้มากมายเลยค่ะ น่าทึ่งมาก ๆ

เที่ยวเมืองเล่อซาน

เล่อซานได้ชื่อว่าเป็นพุทธจักรแห่งตะวันออก มีทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงามรายล้อมไปด้วยภูเขาต่าง ๆ พวกเราออกจากเฉิงตูแวะเมืองเล่อซานก่อนที่จะถึงง้อไบ๊เพื่อล่องเรือชมพระพุทธรูปแกะสลักองค์ใหญ่ที่สุดในโลกหรือเรียกว่าหลวงพ่อโต ซึ่งแกะสลักจากตัวภูเขาริมฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียงตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง องค์สูงถึง 71 เมตร ไหล่กว้าง 28 เมตร หน้าตักสามารถนั่งเรียงรายได้ร้อยกว่าคน หลังจากกลับมาจากทริปนี้ไม่นาน ได้มีโอกาสดูทีวี ซึ่งเค้าพาเยี่ยมชมองค์พระพุทธรูปองค์นี้ด้วย เค้าเล่า แล้วก้อมีรูปให้ดูจริง ๆ ด้วยว่า มีอยู่สมัยนึง ประชาชนในเมืองนั้นประสบภัยแล้งและอดหยาก องค์พระพุทธรูปองค์นี้ ได้กลายเป็นพระพุทธรูปปิดตา ซึ่งเค้าคิดว่า ท่านคงไม่อยากเห็นสภาพของประชาชนในขณะนั้น ในทีวีเค้ามีถ่ายรูปท่านตอนที่ปิดตาให้ดูด้วย น่าแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก ๆ

บีเคยไปหลวงพ่อโตที่ฮ่องกงอยู่สามครั้ง ตั้งอยู่ที่เกาะลันตา ต้องเดินขึ้นบันไดไปหลายร้อยขั้นอยู่ ที่นั่นจะมีอาหารเจให้เราเลือกทานด้วย อร่อยมาก ๆ รสชาดดี แม้แต่หลาน ๆ บีที่ไม่ชอบอาหารเจยังติดใจเลย หลวงพ่อโตที่ฮ่องกงก้อองค์ใหญ่มากค่ะ แต่ใหญ่ไม่เท่าองค์หลวงพ่อโตที่เล่อซาน

เที่ยวเมืองง้อไบ๊

ง้อไบ๊นอกจากจะเป็นขุนเขาใหญ่ที่สลับซับซ้อนและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความงามแห่งธรรมชาติ ร่มรื่นด้วยพฤกษชาตินานาพันธุ์หลายพันชนิดซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่าแล้ว ยังเป็น 1 ใน 4 แห่งยอดขุนเขาใหญ่ที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาของจีน (ภูเขาสี่แห่งมี เขาง้อไบ๊ ผู่ถัวซัน จิ่วหัวซัน และอู่ไถซัน) บนเขามีวัดเก่าแก่มากมายหลายแห่งตามหุบเขาและยอดเขาจินติ่ง (Emei) เช่นวัดเป้ากั๋ว วัดหัวจั้น

วันนั้นวันที่ 19 ก.ค. ที่เราจะขึ้นไปบนยอดเขา วันนั้นฝนตกหนักตลอดทาง เมื่อเราไปถึงยอดเขาซึ่งใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมงในการขึ้นไปนั้น ปรากฏว่าช่วงที่เราไปเข้าห้องน้ำกัน ก้อมีไฟดับ พอเราออกมาจากห้องน้ำได้พักนึง ไกด์ก้อบอกว่า กระเช้าที่จะพาเราไปที่วัดนั้น เกิดไฟฟ้าช็อตทำให้กระเช้าไม่ทำงาน พวกเราก้อเลยตัดสินใจกลับลงมา เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะซ่อมกระเช้าเสร็จเมื่อไหร่ อย่างไรก้อดี ในระหว่างที่ลงจากเขา เราก้อได้แวะอีกวัดนึง ที่ต้องนั่งกระเช้าไปเหมือนกัน เป็นอีกวัดนึงที่เก่าแก่มากที่สุด บีจำชื่อวัดไม่ได้ เพราะว่าไม่ทันจดเอาไว้ค่ะ ก้อยังถือว่าวันนั้นเราได้ทำบุญและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังที่ตั้งใจไว้ค่ะ

เที่ยวเมืองลาซา มณฑลธิเบต

มาพูดกันถึงการตะลุยหลังคาโลกที่แท้จริงสักที ก่อนจะเล่าถึงรายละเอียดการเดินทาง บีขอเกริ่นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธิเบตที่คุณวสันต์และไกด์ท้องถิ่นชาวจีนผู้หญิงอีกคนนึงเล่าให้ฟังเมื่อตอนที่บินถึงสนามบินลาซา และสิ่งอื่น ๆ ที่บีสังเกตเห็นในธิเบตก่อนดีกว่าค่ะ

• 90% ของประชากรในธิเบตเป็นชาวธิเบตท้องถิ่นแท้ ๆ
• ชาวธิเบตนับถือศาสนาพุทธ และค่อนข้างเคร่งและศรัทธากับศาสนา ตอนเช้า ๆ คนธิเบตจะชอบออกมาเดินรอบ ๆ ตัวเมือง โดยถือระฆังหมุน ๆ ไปด้วย ไกด์บอกว่าภายในตัวระฆังบรรจุคัมภีร์ ปกติการสวดพระคัมภีร์จบหนึ่งรอบนั้นจะใช้เวลานาน แต่ถ้าหมุนระฆังนี้ไปมาแล้วไซร้ จะถือว่าหมุนหนึ่งรอบ เท่ากับสวดพระคัมภีร์จบไปหนึ่งรอบ บีฟังแล้วก้อรู้สึกทึ่งและอึ้ง เพราะรู้สึกว่าแบบนี้ก้อเป็น short cut ที่แบบว่าคงทำให้ชาวธิเบตรู้สึกว่าตนเองได้ทำบุญหรือทำสิ่งที่ดี ๆ เยอะมาก เวลาที่ถือระฆังนี้หมุนไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ วัน
• พืชผักมีราคาสูงกว่าเนื้อสัตว์ กล่าวกันว่าคนมีฐานะเท่านั้นที่จะรับประทานผักเยอะ เนื่องจากสมัยก่อน ผักมีราคาแพง และต้องมีการขนส่งมาจากมณฑลอื่น ๆ สมัยนี้ธิเบตเริ่มมีการปลูกผักกันเองบ้างแล้ว
• เมืองลาซาที่เราไป มีการแยกพื้นที่ออกเป็นเมืองเก่า และเมืองใหม่ ในสองปีที่ผ่านมา มีการสร้างโรงแรมใหม่ ๆ ตีกใหม่ ๆ รองรับการท่องเที่ยวเยอะมาก โรงแรมที่พวกเราอยู่กันนั้นเป็นโรงแรมสี่ดาวที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนเมษายนศกนี้ อย่างไรก้อตาม บีสังเกตว่าสิ่งต่าง ๆ ในโรงแรมแห่งนี้ยังเป็นอักษรจีนอยู่ ไม่ว่าจะมีรีโมทคอนโทรลแอร์ และทีวี แป้นโทรศัพท์ที่บอกว่าบริการต่าง ๆ นั้นต้องหมุนเบอร์อะไร เป็นต้น ส่วนกระดาษชำระในห้องน้ำก้อตลกมากเลย คือว่าม้วนนึงมันหนาแค่ประมาณครึ่งนึงของม้วนกระดาษชำระทั่ว ๆ ไปที่เราใช้กัน เค้าก้อมีให้สองม้วนในห้องน้ำตามปกติ แต่ว่าเราต้องคอยขอเพิ่มเรื่อย เนื่องจากความเล็กของม้วนกระดาษ นอกจากนี้ เรามักจะได้กลิ่นอาหารโชยเข้ามาตามชั้นซึ่งบีคิดว่าคงเป็นเพราะตอนสร้างโรงแรมนั้น การออกแบบและวางแผนทำได้ไม่ดี
• บีชอบดูช่อง CCTV9 China International Channel มาก เพิ่งมาสังเกตช่องนี้ตอนมาธิเบต เพราะว่าเป็นช่องเดียวที่พูดภาษาอังกฤษ ข่าวและรายการมีหลากหลายและน่าสนใจ เห็นบอกว่าเป็นช่องเดียวของจีนที่เป็นภาคภาษาอังกฤษ

ขณะที่เรากำลังเดินทางจากสนามบินมุ่งสู่ตัวเมืองลาซาซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลธิเบต ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมงเพราะถนนหนทางยังไม่ค่อยเจริญนั้น (อ้อ ลืมบอกไปว่าคนขับรถที่นี่แย่มากเมื่อเทียบกับคนขับในเฉิงตู แล้วมรรยาทการขับรถในท้องถนนที่นี่ก้อแย่ มีการบีบแตรไล่กันเยอะ และไม่ค่อยมีระเบียบค่ะ) ไกด์ท้องถิ่นชาวจีนที่มาปักหลักทำงานอยู่ในธิเบตได้เกือบสองปีแล้ว (เธอเล่าว่า ตัวเธอเล็กลงเรื่อย ๆ จากการมาอยู่ธิเบต และหมอที่นี่ก้อบอกว่าปอดเธอโตขึ้น เห็นเธอบอกว่าคงจะย้ายกลับเมืองจีนเร็ว ๆ นี้) ก้อได้แนะนำวิธีปรับตัวในธิเบตให้พวกเราฟัง เธอบอกว่า อาการต่าง ๆ จะเริ่มภายหลังจากหกชั่วโมงที่เรามาถึงธิเบต โดยอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ ก้อได้แก่ การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เธอแนะนำวิธีเตรียมตัวต่อสู้กับอาการเหล่านี้ดังต่อไปนี้

• พูดน้อย ๆ ทำอะไรให้ช้าที่สุด อย่าถือของหนัก
• ห้ามอาบน้ำอย่างน้อยหนึ่งวันเต็ม ๆ เนื่องจากถ้าเป็นหวัดแล้ว จะมีโอกาสเป็นปอดบวมสูงมาก อันนี้ บีกะครอบครัวก้อเลยไม่อาบมันตั้งสามวัน มาอาบเอาวันสุดท้ายที่เดินทางกลับ อิ ๆ คือว่าไม่อาบแต่ก้อเช็ดตัว และทำความสะอาดที่จำเป็นนะคะ โชคดีที่อากาศในธิเบตเย็น
• ห้ามสูบบุหรี่ เนื่องจากจะทำให้ได้รับออกซิเจนน้อยลงกว่าปกติเข้าไปอีก
• ทานน้อย ๆ ในมื้อแรก ๆ จะได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญน้อย
• พักเยอะ ๆ ในวันแรก ถ้าใครมึนหัวมาก ๆ ก้อจะมีกระป๋องออกซิเจนที่ขายให้สูดดมกัน

ขอบอกว่า บีเป็นคนที่พี่สาวและพี่เขยห่วงมากขณะที่มาถึงธิเบต เพราะว่ามีโรคประจำตัวแถมยังเป็นไข้หวัดอย่างหนักก่อนมาเที่ยวอีก แต่ปรากฏว่า พี่สาวบีทั้งสามคน รวมทั้งหลานสาว อ๊วกกันถ้วนหน้า แล้วก้อมีมึน ๆ หัว ส่วนบีนั้น มีแต่อาการมึนศีรษะเล็ก ๆ น้อย โดยเฉพาะตอนนอนค่ะ เห็นมีผู้ร่วมทริปสองสามคนเล่าให้ฟังว่าต้องนั่งนอน เพราะว่าถ้าล้มตัวลงนอนเมื่อไหร่ จะรู้สึกมึนหัวอย่างแรง ผู้ร่วมทริปอีกสิบกว่าคนก้ออ๊วกกันหลายคน ซื้อหมอนออกซิเจนกันหลายคน มีอยู่คนนึงต้องไปนอนให้น้ำเกลือด้วยค่ะ ส่วนบีจริง ๆ ก้อมีแค่อาการท้องเสียมากตอนที่อยู่ระหว่างการเดินทางจากสนามบินมาที่ตัวเมือง โชคดีที่วันแรกที่มาถึง เป็นวันแห่งการพักผ่อนและปรับตัว บีจึงมีโอกาสถ่ายเต็มที่ ทานยา แล้วก้อพัก ก้อเลยหายท้องเสีย ไม่งั้นถ้าท้องเสียตอนอยู่ข้างนอกคงเครียดกับสภาพห้องน้ำค่ะ

วันที่สองของการเดินทางนั้น เราไปเข้าชมวัดโจคัง หรือวัดต้าเจาซื่อ ซึ่งเป็นวัดสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวธิเบต ชาวธิเบตจะมาแสวงบุญเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลอาจมีคนนับแสนนับล้านเข้าสู่วัดนี้ สถาปัตยกรรมดูยิ่งใหญ่เห็นบอกว่ามีรูปผสมผสานระหว่างธิเบต จีน เนปาลและทางตอนเหนือของอินเดีย มีอายุนับพันปี รอบ ๆ ตัววัดจะเห็นมีชาวธิเบตมาแสวงบุญโดยการเดินคลาน กราบแบบอัฐฏางค์ประดิษฐ์คือการบูชาสูงสุดของชาวพุทธ โดยให้อวัยวะบนร่างกายทั้งแปดจุดสัมผัสพื้นดิน ไกด์บอกว่าคนเหล่านี้บางทีมากราบแบบนี้ทั้งวันเลย แล้วก้อหลาย ๆ คนจะมาเดินรอบ ๆ วัดทุก ๆ เช้า โดยจะเห็นแต่ละคนถือกระติกน้ำร้อนซึ่งภายในบรรจุน้ำมันบูชาไว้ ชาวธิเบตมีความผูกพันกับวัดนี้มาก และถือว่าการได้มาไหว้พระที่วัดนี้สักครั้งถือว่ามีบุญอย่างใหญ่หลวง ภายในวัดใหญ่มาก ไกด์บอกว่าพวกเราโชคดีที่มาตอนเช้า เพราะว่าถ้าเป็นสาย ๆ แล้ว เค้าจะปิดหลาย ๆ ส่วนของวัดนี้ ทำให้ไม่สามารถเข้าชมได้ เราได้เห็นชาวธิเบตมากมายในวัดที่มารอเข้าแถวถือกระติกน้ำมันเพื่อรอสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในส่วนต่าง ๆ พวกเราเดินดูและไหว้รอบ ๆ และมีอยู่ที่นึง ที่พี่เขยเข้าไปพูดคุยกับลามะแล้วลามะเปิดให้พวกเราเข้าไปชมสักการะ หลังจากนั้นก้อเปิดหีบใหญ่ ๆ แล้วหยิบซองสีเหลือง ๆ ที่ภายในบรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์แจกพวกเราคนละซอง วันนั้นรู้สึกว่าไหว้พระ ทำบุญได้ชุ่มชื่นหัวใจมากค่ะ

อ้อ รอบ ๆ ตัววัดโจคังนั้น ก้อจะเป็นตลาดแบบธิเบต เรียกว่าถนนแปดเหลี่ยม ซึ่งตั้งอยู่รอบ ๆ ตัววัด มีสินค้าพื้นเมืองมากมายซึ่งชวนให้บีระลึกถึงความหลังครั้งไปเที่ยวเนปาล เนื่องจากของที่ขายก้อจะคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าในธิเบต จะไม่ค่อยมีพวกกระเป๋าปักแบบที่เนปาลค่ะ มาธิเบตเนี่ย บีต่อราคาสินค้าสนุกสนานมาก ๆ ไม่คิดว่าเค้าจะบอกผ่านขนาดนี้ ซื้อแหวนเงินที่มีเทอร์คอยซ์ด้วย เค้าตั้งราคาที่ 350 หยวน ซึ่งบีต่อราคาลงมาได้เหลือ 90 หยวน หรือว่าสร้อยเส้นนึงราคา 125 หยวน บีต่อเหลือ 15 หยวน กล่องใส่เครื่องประดับซึ่งน่ารักมาก ๆ งานก้อประณีต บีต่อจาก 65 เหลือ 15 หยวน ตอนหลังมีเพื่อนร่วมทริปหลาย ๆ คนเห็น ก้อชอบมาก ๆ กล่องที่บีซื้อ เห็นมีขายอยู่เจ้าเดียว เจ้าอื่น ๆ เป็นกล่องอีกสไตล์นึงซึ่งคล้าย ๆ ที่บีซื้อในเนปาล แต่ความละเอียดของงานต่ำกว่าเยอะ บีเลยไม่สนใจ โชคดีมาเจอกล่องอีกแบบนึงที่ว่าน่ะค่ะ น่ารักมาก ๆ งานก้อเรียบร้อย แถมได้ราคาดีอีกด้วย ดีใจมาก ๆ ที่ได้ของถูกใจ ถึงแม้ว่าพี่สาวจะหาว่าบีไร้สาระก้อตาม อิ ๆ

ตอนบ่าย ถึงเวลาที่พวกเราจะเข้าชมพระราชวังโปตาลา (The Potala Palace) ว่ากันว่าพระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่เลื่องชื่อที่สุดในโลก สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ 13 โดยกษัตริย์องค์แรกของธิเบตสร้างให้กับพระมเหสีสององค์ที่เป็นชาวจีนและชาวเนปาล มาภายหลังพระราชวังแห่งนี้ได้เป็นพระราชวังฤดูร้อนขององค์ดาไลลามะ และเป็นสถานที่ศึกษาพระธรรม ภายในวัดแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนสีแดง เป็นส่วนพุทธวาส ประกอบด้วยสถูปทองคำของมีค่าต่าง ๆ ห้องโถงสำหรับทำพิธีขนาดใหญ่หลายห้อง หอสวด หอปฏิบัติสมาธิ และแท่นบรรจุศพดาไลลามะองค์ก่อน ๆ 8 แท่น แท่นที่วิจิตรปราณีตที่สุดคือแท่นที่เก็บศพของดาไลลามะองค์ที่ห้า สูง 50 ฟุต ตกแต่งด้วยวัสดุมีค่า เช่น ทอง เพชร พลอย นกการะเวก หินปะการัง และไข่มุก และส่วนสีขาว คือเขตสังฆวาส เป็นส่วนพำนักสงฆ์ โดยมีส่วนเชื่อมเป็นสีเหลืองให้เดินสัมผัสโปตาลาได้อย่างทั่วถึง

ไกด์บอกพวกเราว่า ปัจจุบันรัฐบาลจำกัดเวลาเข้าเยี่ยมชมพระราชวังโปตาลา และจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เข้าชมได้ประมาณไม่เกิน 2,000 คนต่อวัน และไม่เกินสองชั่วโมงในการเข้าชม พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้าชมได้เวลา 12:20 น. โดยมีสี่คนในคณะที่ขอกลับไปพักผ่อน เพราะเกรงว่าจะไม่ไหว เนื่องจากมีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว อาเจียน สองในนั้นคือพี่สาวคนโตและหลานสาวบีเองค่ะ ที่ขอบาย เพราะไกด์บอกว่า การขึ้นไปชมพระราชวังนี้เปรียบเทียบได้กับการขึ้นบันไดสามพันขั้น จริง ๆ บีฟังแล้วยังหนาวเช่นกันว่าจะไหวรึป่าว เพราะสภาพร่างกายไม่ค่อยอำนวย แต่ใจมันสู้ค่ะ และก้อคิดว่า ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก้อคงนั่งรออยู่ที่บันไดขั้นที่ร้อยกว่า หรือพันกว่า ก้อยังดีกว่าไม่ได้ลองน่ะค่ะ ปรากฏว่าทุกคนที่ขึ้นไป ก้อทำสำเร็จกันทุกคนค่ะ พวกพี่สาวบีต่างก้อพากันทึ่งที่บีทำได้ ก้อมีการหยุดพักเป็นระยะ ๆ น่ะค่ะ บีว่าไกด์ก้อเวอร์นะคะ จริง ๆ แล้วทางขึ้นไปช่วงแรก ๆ ไม่ได้เป็นบันได แต่เป็นทางลาด โดยที่พวกเราค้นพบว่า ถ้าเดินขึ้นไปโดยหันหลังเดินขึ้น จะไม่ค่อยเหนื่อยเลย จริง ๆ นะคะ ใครอยากลองดูก้อไม่สงวนลิขสิทธิ์ค่ะ แล้วก้อมีเป็นช่วง ๆ ที่ต้องขึ้นบันได บันไดบางแห่งชันมาก พอขึ้นไปแล้วหายใจแทบไม่ทัน อย่าลืมนะคะว่า อากาศในธิเบตเบาบาง ทำอะไรนิดหน่อยก้อเหนื่อยแล้ว ขนาดบีเปลี่ยนเสื้อผ้ายังเหนื่อยเลย คิดดูละกันค่ะ

ในวันที่สามของการเดินทางนั้น ตอนเช้า เราก้อไปเข้าชมพระราชวังนอปูลินคา (Norbulinka Jewel Park) หรือตำหนักสวนอัญมณี สวนเพชร (Precious Stone Garden) มีเนื้อที่โดยรวมประมาณ 360,000 ตร.ม. สร้างใน ค.ศ. 1750 โดยดาไลลามะองค์ที่ 7 และทุกองค์จะสร้างต่อกันมาจนกลายเป็นพระราชวังฤดูร้อนที่สมบูรณ์ (ส่วนฤดูหนาวก้อจะพักที่พระราชวังโปตาลา) ดาไลลามะองค์ที่ 14 ก้อได้ใช้เงินส่วนตัวสร้างด้วย แต่พำนักได้แค่สองปีก้อต้องลี้ภัยไปอยู่อินเดีย ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้ได้เปิดเป็นสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนด้วยค่ะ

ช่วงบ่าย พวกเราก้อไปนมัสการวัดเจ๋อปั้ง (Drepung) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมืองลาซา เป็นวัดขนาดใหญ่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1416 เป็นที่พำนักขององค์ดาไลลามะมาก่อน ก่อนที่ดาไลลามะองค์ที่ 5 จะบูรณะพระราชวังโปตาลาขึ้นมาเป็นที่พำนักแทน

ทริปในธิเบตนั้น บีว่าสถานที่ที่บีรู้สึกว่าอลังการณ์และเป็น Highlight ของธิเบต ก้อคือพระราชวังโปตาลา และวัดโจคังค่ะ รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ และมีมนต์ขลังแฝงอยู่ คืนวันที่เราทำบุญนั้น ก้อตรงกับวันเข้าพรรษาพอดี พวกเรามารวมกันในห้องพี่เขย แล้วก้อเสวนาธรรมกัน มีการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย ให้พวกเรามีความสุขกัน

กลับมาจากทริปนี้แล้ว พี่สาวก้อมาเล่าให้ฟังว่า พี่เขยชมว่าบีใจเย็นขึ้นเยอะ ไม่มีการบ่นหรือว่าอาละวาดอะไร อิ ๆ ก้อปกติบีจะขี้รำคาญค่ะ แต่ก้อรู้สึกตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ตัวเองใจเย็นอย่างประหลาดค่ะในทริปนี้ ทั้ง ๆ ที่มีอะไรให้บ่นหลาย ๆ อย่าง ไม่ใช่ความไม่สะดวกสบายนะคะ แต่เป็นเรื่องของมรรยาทของคนบางคนน่ะค่ะ นอกจากนี้ ก้อมีพี่สาวและพี่เขยที่ชมว่าบีเก่ง ที่สามารถเดินขึ้นไปชมพระราชวังโปตาลาได้ ทั้ง ๆ ที่ยังเดี้ยงอยู่ บวกกับสุขภาพบีที่ไม่ค่อยดีด้วย ในขณะที่พี่สาวซึ่งเคยไปลุยแชงกรีลามาแล้ว (อยู่ในระดับที่สูงจากระดับน้ำทะเลเยอะเช่นกัน แต่ทริปนั้น เห็นพี่สาวเล่าว่า ค่อย ๆ เดินทางจากที่ต่ำ ขึ้นที่สูง จึงค่อย ๆ มีการปรับตัว) กลับขึ้นไปไม่ไหว และยังเสียดายว่าไม่ได้ขึ้น เห็นบอกว่าจะกลับไปตะลุยหลังคาโลกอีกเพื่อขึ้นไปให้ถึงพระราชวังนี้ค่ะ