Working in the US...
วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเล่าเรื่องสมัยที่บีไปทำงานที่อเมริกาดีกว่า จำได้ว่าตอนนั้นเรียนจบมาได้ประมาณสองปีแล้วล่ะ บีทำงานในบริษัทที่ปรึกษาใหญ่แห่งหนึ่ง ถ้าจำเรื่องที่บีเล่าได้ในตอน Bee’s Private Corner บีเคยบอกว่าตัวเองมีความฝันมากมายหลายอย่างที่บางทีก้อไม่คาดคิดว่าจะไปถึงความฝันนั้นได้ หนึ่งในฝันนั้นของบีก้อคือการได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศค่ะ
หลังจากที่บีเรียนจบใหม่ ๆ บีสอบชิงทุน ก.พ. ได้สองทุน คือทุนเรียน MIS กับเรียนอะไรอีกอันบีจำไม่ได้แล้วล่ะค่ะ จำได้แต่ว่าเกี่ยวกับ Information System เหมือนกันแต่ไม่ใช่ MIS คือบีจบสถิติแล้วก้อรู้อะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พอสมควร โดยที่จริง ๆ แล้วบีไม่ใช่คนชอบเขียนโปรแกรมเลย จึงไม่เคยคิดจะสมัครงานเพื่อเป็นโปรแกรมเมอร์ ทั้ง ๆ ที่คนที่จบสถิติส่วนใหญ่จะไปทำงานคอมพิวเตอร์กัน งานที่ปรึกษาที่บีทำนั้น ก้อมีการเขียนโปรแกรมเหมือนกันค่ะ แต่ไม่มากนัก
พอบีชิงทุนได้ บีก้อยื่นใบลาออกค่ะ แต่ว่านายใหญ่ไม่ให้ออก เรียกไปพูดอยู่นานสองนานว่า ยูจะไปเรียนทำไม ทำงานแบบนี้แหละ ได้ประสบการณ์มากมาย บริษัทก้อใหญ่ มีอะไรให้ยูทำและเรียนรู้เยอะแยะ เชื่อผมเถอะ ผมผ่านอะไรมาเยอะแยะ บีก้อเลยตอบไปว่า บีอยากได้ภาษา คืออยากเก่งภาษาอังกฤษน่ะค่ะ คุณรู้มั้ยว่านายพูดว่าไง คือช่วงนั้นนะคะ เวลาบีไปทำงานที่บริษัทลูกค้า บีต้องตื่นแต่เช้านั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง ลงสถานีหัวหมาก แล้วต่อรถสองแถวไปลูกค้าเพื่อให้ทันเข้างานตอน 7:30 น. ซึ่งเช้ามาก แต่ก้อต้องทำ เพราะว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามค่ะ นายบอกว่า ตอนที่ยูนั่งรถไฟตอนเช้า ยูก้อฟัง soundabout (เขียนถูกป่าวเนี่ย) ฝึกภาษาไปด้วยสิ บีก้อเลยโต้ไปว่า มันก้อคงลำบากอยู่ดี ปกติอยู่ในรถไฟก้อง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว แถมการฝึกวิธีนี้ มันไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีไปกว่าการไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษกันจริง ๆ สักหน่อย
นายใหญ่ก้อเลยพูดกับบีว่า เอายังงี้ ตอนนี้มีออฟฟิสที่อเมริกากำลังอยากได้คนไปช่วยทำงานโปรเจ็คแบบ In-house อยู่ สนใจมั้ย แต่ไม่รับประกันนะว่าจะได้ เพราะคงต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกอีก ขอเวลาผมอีกสองเดือนได้มั้ย บีก้อบอกว่าสนใจ คือในใจจริง ๆ ตอนนั้น ก้อไม่ค่อยแน่ใจว่าอยากไปเรียนสักเท่าไหร่ เพราะว่า หนึ่ง อยากเรียน MBA มากกว่า สอง อยากได้ทุนแบบที่ไม่ต้องใช้คืนมากกว่า เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน นายมาบอกว่า โอเค ยูไปทำงานที่ชิคาโกหกเดือนนะ เป็น Internal Project ทำเกี่ยวกับ Training Management System ของบริษัทเอง ที่จะนำมาใช้ทั่วโลก
บริษัทที่บีทำงานมีบริษัทแม่อยู่ที่ชิคาโกค่ะ แล้วก้อมีศูนย์อบรมที่ใหญ่มากแบบแคมพัสเลย ที่ St. Charles, Illinois ก่อนไปทำงานคราวนี้ บีก้อเคยไปอบรมที่ศูนย์นี้มาแล้วแหละ บริษัทนี้เค้าจะมีหลักสูตรอบรมพนักงานใหม่แบบค่อนข้างจะเป็นระบบมาก ๆ ปีแรกที่บีเข้าไปนั้น ต้องไปอบรมเข้มสามอาทิตย์ที่ฟิลิปปินส์ คอร์สนี้ตอนหลังเค้าย้ายไปจัดที่อเมริกาค่ะ พอปีที่สอง ก้อมีคอร์สเรียกว่า Business Practice Course, System Installation School ปีที่สามก้อมี System Design School อะไรเงี้ยค่ะ ไปอบรมที่ศูนย์ในอเมริกานั่นแหละค่ะ
พอบีทราบว่าต้องไปทำงานที่อเมริกา ใจนึงก้อดีใจ อีกใจก้อกลัว ไม่รู้ว่าจะไปรอดรึป่าวน่ะค่ะ จำได้ว่าไปถึงอเมริกาวันแรกคือ 27 มิ.ย. ไปพักที่โรงแรมในดาวน์ทาวน์ชิคาโก เวลาไปทำงานก้อเดินไปที่สำนักงานใหญ่ที่ 69 W. Washington Street จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้วล่ะ รู้แต่ว่าไปถึงวันแรกก้อไปทำเปิ่นไว้เยอะ มันตื่นเต้นบอกไม่ถูก เจอเพื่อนร่วมงานในทีมเยอะแยะไปหมด บีเป็นคนเอเชียคนเดียวในทีม นอกนั้นก้อมีคนแคนาดา 3 คน ไอร์แลนด์ 1 คน สวีเดน 2 คน อเมริกาหลายคนมาก Supervisor บีเป็นคนอเมริกัน หน้าตาใจดี น่ารัก ชื่อ Tim นึก ๆ แล้วก้อขำในใจ วันแรกที่ไปถึง หลังจากคุยกะทิมได้พักนึง เค้าก้อพาบีไปเดินดูรอบ ๆ ออฟฟิส เค้าถามมาคำนึงที่บีฟังเท่าไหร่ก้อไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนเค้าต้องชี้ให้ดูว่าอะไร เลยถึงบางอ้อ มันคือ ห้องน้ำนั่นเอง อิ ๆ ก้อแหม คำที่เค้าใช้ในการถามบีอะ เค้าถามว่า You know where the restroom is ? ใครจะไปตรัสรู้ได้ล่ะว่า restroom แปลว่าห้องน้ำ พวกเราเรียนหนังสือมา ก้อรู้แต่จักแต่คำว่า Toilet นี่ไม่ต้องพูดถึงความคุ้นเคยกับสำเนียงการพูดของพวกเจ้าของภาษาอีกนะคะ วันนั้นสงสารทิมพอควร เพราะว่าถามอะไรบี เช่น เคยทำโน่น ทำนี่ หรือใช้ Microsoft Word มั้ย บีก้อ NOOOO คำเดียวตลอด เค้าคงคิดในใจว่า ไม่น่าเลยตรู
หลังจากอยู่ที่โรงแรมได้สี่วัน ก้อต้องโยกย้ายไปอยู่ Apartment รายเดือน ทุลักทุเลพอควร ข้าวของพะรุงพะรัง หาคนช่วยยกก้อไม่มี ถามหารถลาก ก้อฟังพนักงานผิวดำไม่ค่อยจารู้เรื่อง เวรกรรมเสียจริง ๆ พอย้ายเสร็จ นั่งแหมะลงบนโซฟาร้องไห้โฮ ๆ ๆ รู้สึกชีวิตรันทดจริง ๆ ค่ะ
ช่วงที่ไปทำงานระยะแรก พอพักเที่ยง บีก้อไปทานชั้นใต้ดินของตึกค่ะ บีเลือกทานอาหารจีนประจำ เพราะอย่างอื่นไม่รู้จะสั่งยังไง อาย และกลัวด้วย มีอยู่วันนึง พนักงานถามอะไรบีก้อไม่รู้ บีก้อ Excuse me, Pardon me อยู่น่านแหละ จนเค้าถามใหม่ว่า Anything to drink บีมาทราบภายหลังว่า เค้าถามว่า Any pop? ซึ่งก้อหมายถึงจะเอาเครื่องดื่มอะไรมั้ย ใครจะไปรู้ล่ะ ก้อภาษาอังกฤษที่พวกเราเรียนกันในโรงเรียนน่ะ มันไม่ได้มีคำแบบนี้นี่ เหมือนกับคำว่าห้องน้ำ restroom นั่นแหละ
หลังจากทำงานไปได้สองเดือน เพื่อน ๆ บีมันก้อบอกว่า U know, your English improves a lot บีก้อถามว่าทำไมหรอ เค้าก้อบอกว่า U don't say "YES" any more. U know, the first day you came here, we asked you where you were from, you said YES เลยโจ๊กกันใหญ่เลย แล้วเค้ายังพูดต่อว่า แล้ววันที่ยูต้องย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนท์นะ พวกเราก้องงว่าอยู่ ๆ ยูหายไปไหน บีก้อว่า บีทิ้งโน๊ตไว้ให้ทิมแล้วนี่นา พวกเค้าก้อบอกว่า แต่มันอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจนี่นา รู้มั้ย ฟังแล้วรู้สึกว่า ความมั่นใจในภาษาอังกฤษของบีลดฮวบ จากการที่คิดว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษได้ดี มานี่แล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่องเอามาก ๆ ค่ะ
ตอนอยู่ชิคาโก พักในอพาร์ตเมนท์คนเดียว คนในทีมพักกระจัดกระจายกัน อยู่ได้ประมาณเดือนครึ่ง เราก้อต้องย้ายไปอยู่ที่ St. Charles กัน ตอนนั้นแหละ เป็นช่วงที่บีคิดว่า บีเกิดการเรียนรู้มากที่สุด อยู่ที่นี่ เค้าจับให้อยู่กันสองคนต่อหนึ่ง apartment เป็นแบบสองห้องนอนนะคะ แล้วก้อมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซักผ้า อะไรเงี้ย บีได้อยู่กะเพื่อนอเมริกันที่เป็นชาว Jewish เรียบร้อย น่ารัก แต่ก้อชอบนินทา และขี้เล่น เธอชื่อไดแอนค่ะ ไดแอนทำให้บีเรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทำให้บีชอบทาน Bagel รู้สึกว่าชาว Jewish จะทาน Bagel ประจำ ไดแอนทำให้บีเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของคนอเมริกันมากขึ้นค่ะ
ตอนนั้นบียังขับรถไม่ได้ ไดแอนเลยเป็นคนขับประจำ แล้วก้อมีแอบสอน ๆ บีขับบ้างนิดหน่อย ช่วง Thanksgiving เธอก้อชวนบีไปที่บ้านเธอที่ St. Louis ไปกันประมาณห้าวันมั้งคะ ขับรถของพวกเราไปกันเอง บีไปร่วมทานไก่งวง พายฟักทอง ที่บ้านของไดแอนร่วมกับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย และคุณยายของเธอ คุณแม่ของไดแอนยังสอนให้บีปักรูปนกฮูกเพราะรู้ว่าบีสนใจเรื่องพวกนี้ แถมยังให้ผ้าลายสวย ๆ ที่ใช้ทำผ้าม่านมาให้บีเยอะแยะไปหมด จนป่านนี้บียังมีเก็บไว้เลย บางผืนก้อมาเย็บเป็นผ้าม่านห้องนอนที่บ้าน ไปเที่ยวครั้งนั้นก้อมีโอกาสขึ้นไปที่ The Arch แล้วก้อไปทาน McDonald ที่เป็นเรือตั้งอยู่บนแม่น้ำ Missippi น่ะค่ะ ไดแอนพาไปโบสถ์กะคุณแม่เค้าด้วย สถาปัตยกรรมภายในโบสถ์สวย บีรู้สึกดีใจ แล้วก้อประทับใจในประสบการณ์ครั้งนั้นมากค่ะ ล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ บีก้อติดต่อไปหาไดแอนโดยทางจดหมายไปที่บ้านพ่อแม่เค้า เค้าก้อเขียนอีเมล์กลับมาหาตามที่บีให้ไป เค้าแต่งงานแล้ว มีลูกแล้วด้วย แล้วก้ออยู่สุขสบายดีค่ะ
ช่วงที่ไปทำงานที่อเมริกา บีมีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไปศึกษาต่อ MBA ที่นั่นพอดี ดังนั้น พอช่วงที่เป็นวันหยุดฝรั่ง เราก้อหาเรื่องบินมาเจอกันเพื่อเที่ยวด้วย บีก้อมีไปเที่ยวทาง East, Northeastern parts ช่วงคริสต์มาส ตอนนั้นเช่าเป็นรถแวนเลยล่ะ เพราะว่ามีเพื่อน ๆ บีหลายคน แล้วพี่รหัสบีตอนนั้นก้อไปเรียนโทและเอกอยู่ แล้วก้อมีเพื่อน ๆ ของพี่รหัสอีก อีกครั้งนึงก้อไปทาง West ค่ะ แล้วก้อมีไปรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐมาก ๆ ช่วงที่บีกลับไปทำงานอีกโปรเจ็คนึงที่อเมริกาในเวลาต่อมา
หลังจากจบ 6 เดือน ปรากฎว่า ทางทีมขอให้บีอยู่ต่อ เพื่อดูแลทีมที่เรียกว่า Fix It Team คือเป็นทีมที่จะแก้ไขโปรแกรมเมื่อทดสอบแล้วเจอ bug ตอนนั้นมีลูกทีมเป็นคนอเมริกันหลายคน เข้ากันได้ดีค่ะ งานก้อสนุกดี เพราะว่าบีก้อเริ่มคุ้นเคยกับภาษา เรื่องงานน่ะ ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะถือว่าง่ายสำหรับบีในตอนนั้น ปีนั้น บีได้รับเลื่อนขั้นด้วย รู้ข่าวจากเมืองไทยแล้วก้อดีใจค่ะ ตอนที่บีย้ายมาคุมทีมนี้ ทิมเค้าถึงคราวออกจากโปรเจ็ค ก้อมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ บีจำได้ตอนนั้นนึกเศร้าที่เค้าจะไปแล้ว คืนนั้นดื่มไปเยอะพอควร แล้วก้อมีเต้นแบบสไตล์คันทรี่ โดนบังคับให้เต้น รู้สึกอยากร้องไห้ที่ทิมจะกลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมาตอนเช้า เพิ่งรู้ว่าอาการแฮงค์เป็นยังไง รู้สึกคอแห้งทั้งวันอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ
การที่บีไปทำงานที่อเมริกา บีว่ามันทำให้บีกล้าขึ้น แล้วก้อ aggressive ขึ้นในความรู้สึกของบี แต่ว่าในความรู้สึกของพวกฝรั่ง เค้าก้อรู้สึกว่าเราเรียบร้อย ไม่ค่อยพูดอยู่ดี เค้าบอกว่า บีทำงานได้ดี need very minimal supervision พวกนาย ๆ รักค่ะ บีได้กลับเมืองไทยบ่อยกว่านโยบายของบริษัท เพราะการที่เรากล้าถาม กล้าขอ เพราะได้ยินว่าคนอื่นได้ เราก้อเลยลองขอบ้าง แล้วเราก้อได้เหมือนกัน บีเลยมีแนวคิดที่ได้จากเหตุการณ์พวกนี้ว่า ถ้าเรากล้าที่จะขอ บางทีเราอาจได้สิ่งนั้นมา หรือถ้าไม่ได้ ก้อไม่ต้องเสียใจทีหลังว่าตอนนั้นทำไมไม่ขอ จริงมั้ยคะ
เพื่อน ๆ ในทีมรู้ว่าบีชอบเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จะคอยแก้แกรมมาให้บ้าง แก้การออกเสียงให้บ้าง เพราะช่วงแรก ออกเสียงอะไรไป ไม่ค่อยมีคนเข้าใจ อิ ๆ คิดทีไรก้อขำทุกที นอกจากนี้ เพื่อน ๆ ยังชอบสอนพวกแสลงแบบไม่ค่อยดีให้บี เช่น Take a hike, go jump in a lake, eat dirt, watch your mouth or I’m gonna wash your mouth out with soap, or I’m gonna smack you one, Hit the road jack เป็นต้น ก้อดีนะคะ ได้ความรู้ดี ยิ่งถ้าบีพูดคำเหล่านี้ออกไปนะคะ เพื่อน ๆ ก้อจะขำมาก ตอนที่บีกลับเมืองไทย นายบีซื้อหนังสือให้เล่มนึง เป็นหนังสือรวบรวมแสลงโดยเฉพาะ เธอบอกว่า ครั้งหน้า ถ้าเพื่อน ๆ ในทีมพูดอะไรที่บีไม่เข้าใจ ให้บีลองหาในหนังสือเล่มนี้ดูสิ นายบีน่ารักมั้ยคะ
อืม เขียนมาเยอะจัง รู้สึกว่าเขียนยังไงก้อคงไม่หมดสักที พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้โอกาสหน้าเขียนใหม่ การเดินทางนี้ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยนะคะ ติดตามตอนต่อไปนะคะ
หลังจากที่บีเรียนจบใหม่ ๆ บีสอบชิงทุน ก.พ. ได้สองทุน คือทุนเรียน MIS กับเรียนอะไรอีกอันบีจำไม่ได้แล้วล่ะค่ะ จำได้แต่ว่าเกี่ยวกับ Information System เหมือนกันแต่ไม่ใช่ MIS คือบีจบสถิติแล้วก้อรู้อะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พอสมควร โดยที่จริง ๆ แล้วบีไม่ใช่คนชอบเขียนโปรแกรมเลย จึงไม่เคยคิดจะสมัครงานเพื่อเป็นโปรแกรมเมอร์ ทั้ง ๆ ที่คนที่จบสถิติส่วนใหญ่จะไปทำงานคอมพิวเตอร์กัน งานที่ปรึกษาที่บีทำนั้น ก้อมีการเขียนโปรแกรมเหมือนกันค่ะ แต่ไม่มากนัก
พอบีชิงทุนได้ บีก้อยื่นใบลาออกค่ะ แต่ว่านายใหญ่ไม่ให้ออก เรียกไปพูดอยู่นานสองนานว่า ยูจะไปเรียนทำไม ทำงานแบบนี้แหละ ได้ประสบการณ์มากมาย บริษัทก้อใหญ่ มีอะไรให้ยูทำและเรียนรู้เยอะแยะ เชื่อผมเถอะ ผมผ่านอะไรมาเยอะแยะ บีก้อเลยตอบไปว่า บีอยากได้ภาษา คืออยากเก่งภาษาอังกฤษน่ะค่ะ คุณรู้มั้ยว่านายพูดว่าไง คือช่วงนั้นนะคะ เวลาบีไปทำงานที่บริษัทลูกค้า บีต้องตื่นแต่เช้านั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง ลงสถานีหัวหมาก แล้วต่อรถสองแถวไปลูกค้าเพื่อให้ทันเข้างานตอน 7:30 น. ซึ่งเช้ามาก แต่ก้อต้องทำ เพราะว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามค่ะ นายบอกว่า ตอนที่ยูนั่งรถไฟตอนเช้า ยูก้อฟัง soundabout (เขียนถูกป่าวเนี่ย) ฝึกภาษาไปด้วยสิ บีก้อเลยโต้ไปว่า มันก้อคงลำบากอยู่ดี ปกติอยู่ในรถไฟก้อง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว แถมการฝึกวิธีนี้ มันไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีไปกว่าการไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษกันจริง ๆ สักหน่อย
นายใหญ่ก้อเลยพูดกับบีว่า เอายังงี้ ตอนนี้มีออฟฟิสที่อเมริกากำลังอยากได้คนไปช่วยทำงานโปรเจ็คแบบ In-house อยู่ สนใจมั้ย แต่ไม่รับประกันนะว่าจะได้ เพราะคงต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกอีก ขอเวลาผมอีกสองเดือนได้มั้ย บีก้อบอกว่าสนใจ คือในใจจริง ๆ ตอนนั้น ก้อไม่ค่อยแน่ใจว่าอยากไปเรียนสักเท่าไหร่ เพราะว่า หนึ่ง อยากเรียน MBA มากกว่า สอง อยากได้ทุนแบบที่ไม่ต้องใช้คืนมากกว่า เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน นายมาบอกว่า โอเค ยูไปทำงานที่ชิคาโกหกเดือนนะ เป็น Internal Project ทำเกี่ยวกับ Training Management System ของบริษัทเอง ที่จะนำมาใช้ทั่วโลก
บริษัทที่บีทำงานมีบริษัทแม่อยู่ที่ชิคาโกค่ะ แล้วก้อมีศูนย์อบรมที่ใหญ่มากแบบแคมพัสเลย ที่ St. Charles, Illinois ก่อนไปทำงานคราวนี้ บีก้อเคยไปอบรมที่ศูนย์นี้มาแล้วแหละ บริษัทนี้เค้าจะมีหลักสูตรอบรมพนักงานใหม่แบบค่อนข้างจะเป็นระบบมาก ๆ ปีแรกที่บีเข้าไปนั้น ต้องไปอบรมเข้มสามอาทิตย์ที่ฟิลิปปินส์ คอร์สนี้ตอนหลังเค้าย้ายไปจัดที่อเมริกาค่ะ พอปีที่สอง ก้อมีคอร์สเรียกว่า Business Practice Course, System Installation School ปีที่สามก้อมี System Design School อะไรเงี้ยค่ะ ไปอบรมที่ศูนย์ในอเมริกานั่นแหละค่ะ
พอบีทราบว่าต้องไปทำงานที่อเมริกา ใจนึงก้อดีใจ อีกใจก้อกลัว ไม่รู้ว่าจะไปรอดรึป่าวน่ะค่ะ จำได้ว่าไปถึงอเมริกาวันแรกคือ 27 มิ.ย. ไปพักที่โรงแรมในดาวน์ทาวน์ชิคาโก เวลาไปทำงานก้อเดินไปที่สำนักงานใหญ่ที่ 69 W. Washington Street จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้วล่ะ รู้แต่ว่าไปถึงวันแรกก้อไปทำเปิ่นไว้เยอะ มันตื่นเต้นบอกไม่ถูก เจอเพื่อนร่วมงานในทีมเยอะแยะไปหมด บีเป็นคนเอเชียคนเดียวในทีม นอกนั้นก้อมีคนแคนาดา 3 คน ไอร์แลนด์ 1 คน สวีเดน 2 คน อเมริกาหลายคนมาก Supervisor บีเป็นคนอเมริกัน หน้าตาใจดี น่ารัก ชื่อ Tim นึก ๆ แล้วก้อขำในใจ วันแรกที่ไปถึง หลังจากคุยกะทิมได้พักนึง เค้าก้อพาบีไปเดินดูรอบ ๆ ออฟฟิส เค้าถามมาคำนึงที่บีฟังเท่าไหร่ก้อไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนเค้าต้องชี้ให้ดูว่าอะไร เลยถึงบางอ้อ มันคือ ห้องน้ำนั่นเอง อิ ๆ ก้อแหม คำที่เค้าใช้ในการถามบีอะ เค้าถามว่า You know where the restroom is ? ใครจะไปตรัสรู้ได้ล่ะว่า restroom แปลว่าห้องน้ำ พวกเราเรียนหนังสือมา ก้อรู้แต่จักแต่คำว่า Toilet นี่ไม่ต้องพูดถึงความคุ้นเคยกับสำเนียงการพูดของพวกเจ้าของภาษาอีกนะคะ วันนั้นสงสารทิมพอควร เพราะว่าถามอะไรบี เช่น เคยทำโน่น ทำนี่ หรือใช้ Microsoft Word มั้ย บีก้อ NOOOO คำเดียวตลอด เค้าคงคิดในใจว่า ไม่น่าเลยตรู
หลังจากอยู่ที่โรงแรมได้สี่วัน ก้อต้องโยกย้ายไปอยู่ Apartment รายเดือน ทุลักทุเลพอควร ข้าวของพะรุงพะรัง หาคนช่วยยกก้อไม่มี ถามหารถลาก ก้อฟังพนักงานผิวดำไม่ค่อยจารู้เรื่อง เวรกรรมเสียจริง ๆ พอย้ายเสร็จ นั่งแหมะลงบนโซฟาร้องไห้โฮ ๆ ๆ รู้สึกชีวิตรันทดจริง ๆ ค่ะ
ช่วงที่ไปทำงานระยะแรก พอพักเที่ยง บีก้อไปทานชั้นใต้ดินของตึกค่ะ บีเลือกทานอาหารจีนประจำ เพราะอย่างอื่นไม่รู้จะสั่งยังไง อาย และกลัวด้วย มีอยู่วันนึง พนักงานถามอะไรบีก้อไม่รู้ บีก้อ Excuse me, Pardon me อยู่น่านแหละ จนเค้าถามใหม่ว่า Anything to drink บีมาทราบภายหลังว่า เค้าถามว่า Any pop? ซึ่งก้อหมายถึงจะเอาเครื่องดื่มอะไรมั้ย ใครจะไปรู้ล่ะ ก้อภาษาอังกฤษที่พวกเราเรียนกันในโรงเรียนน่ะ มันไม่ได้มีคำแบบนี้นี่ เหมือนกับคำว่าห้องน้ำ restroom นั่นแหละ
หลังจากทำงานไปได้สองเดือน เพื่อน ๆ บีมันก้อบอกว่า U know, your English improves a lot บีก้อถามว่าทำไมหรอ เค้าก้อบอกว่า U don't say "YES" any more. U know, the first day you came here, we asked you where you were from, you said YES เลยโจ๊กกันใหญ่เลย แล้วเค้ายังพูดต่อว่า แล้ววันที่ยูต้องย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนท์นะ พวกเราก้องงว่าอยู่ ๆ ยูหายไปไหน บีก้อว่า บีทิ้งโน๊ตไว้ให้ทิมแล้วนี่นา พวกเค้าก้อบอกว่า แต่มันอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจนี่นา รู้มั้ย ฟังแล้วรู้สึกว่า ความมั่นใจในภาษาอังกฤษของบีลดฮวบ จากการที่คิดว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษได้ดี มานี่แล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่องเอามาก ๆ ค่ะ
ตอนอยู่ชิคาโก พักในอพาร์ตเมนท์คนเดียว คนในทีมพักกระจัดกระจายกัน อยู่ได้ประมาณเดือนครึ่ง เราก้อต้องย้ายไปอยู่ที่ St. Charles กัน ตอนนั้นแหละ เป็นช่วงที่บีคิดว่า บีเกิดการเรียนรู้มากที่สุด อยู่ที่นี่ เค้าจับให้อยู่กันสองคนต่อหนึ่ง apartment เป็นแบบสองห้องนอนนะคะ แล้วก้อมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซักผ้า อะไรเงี้ย บีได้อยู่กะเพื่อนอเมริกันที่เป็นชาว Jewish เรียบร้อย น่ารัก แต่ก้อชอบนินทา และขี้เล่น เธอชื่อไดแอนค่ะ ไดแอนทำให้บีเรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทำให้บีชอบทาน Bagel รู้สึกว่าชาว Jewish จะทาน Bagel ประจำ ไดแอนทำให้บีเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของคนอเมริกันมากขึ้นค่ะ
ตอนนั้นบียังขับรถไม่ได้ ไดแอนเลยเป็นคนขับประจำ แล้วก้อมีแอบสอน ๆ บีขับบ้างนิดหน่อย ช่วง Thanksgiving เธอก้อชวนบีไปที่บ้านเธอที่ St. Louis ไปกันประมาณห้าวันมั้งคะ ขับรถของพวกเราไปกันเอง บีไปร่วมทานไก่งวง พายฟักทอง ที่บ้านของไดแอนร่วมกับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย และคุณยายของเธอ คุณแม่ของไดแอนยังสอนให้บีปักรูปนกฮูกเพราะรู้ว่าบีสนใจเรื่องพวกนี้ แถมยังให้ผ้าลายสวย ๆ ที่ใช้ทำผ้าม่านมาให้บีเยอะแยะไปหมด จนป่านนี้บียังมีเก็บไว้เลย บางผืนก้อมาเย็บเป็นผ้าม่านห้องนอนที่บ้าน ไปเที่ยวครั้งนั้นก้อมีโอกาสขึ้นไปที่ The Arch แล้วก้อไปทาน McDonald ที่เป็นเรือตั้งอยู่บนแม่น้ำ Missippi น่ะค่ะ ไดแอนพาไปโบสถ์กะคุณแม่เค้าด้วย สถาปัตยกรรมภายในโบสถ์สวย บีรู้สึกดีใจ แล้วก้อประทับใจในประสบการณ์ครั้งนั้นมากค่ะ ล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ บีก้อติดต่อไปหาไดแอนโดยทางจดหมายไปที่บ้านพ่อแม่เค้า เค้าก้อเขียนอีเมล์กลับมาหาตามที่บีให้ไป เค้าแต่งงานแล้ว มีลูกแล้วด้วย แล้วก้ออยู่สุขสบายดีค่ะ
ช่วงที่ไปทำงานที่อเมริกา บีมีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไปศึกษาต่อ MBA ที่นั่นพอดี ดังนั้น พอช่วงที่เป็นวันหยุดฝรั่ง เราก้อหาเรื่องบินมาเจอกันเพื่อเที่ยวด้วย บีก้อมีไปเที่ยวทาง East, Northeastern parts ช่วงคริสต์มาส ตอนนั้นเช่าเป็นรถแวนเลยล่ะ เพราะว่ามีเพื่อน ๆ บีหลายคน แล้วพี่รหัสบีตอนนั้นก้อไปเรียนโทและเอกอยู่ แล้วก้อมีเพื่อน ๆ ของพี่รหัสอีก อีกครั้งนึงก้อไปทาง West ค่ะ แล้วก้อมีไปรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐมาก ๆ ช่วงที่บีกลับไปทำงานอีกโปรเจ็คนึงที่อเมริกาในเวลาต่อมา
หลังจากจบ 6 เดือน ปรากฎว่า ทางทีมขอให้บีอยู่ต่อ เพื่อดูแลทีมที่เรียกว่า Fix It Team คือเป็นทีมที่จะแก้ไขโปรแกรมเมื่อทดสอบแล้วเจอ bug ตอนนั้นมีลูกทีมเป็นคนอเมริกันหลายคน เข้ากันได้ดีค่ะ งานก้อสนุกดี เพราะว่าบีก้อเริ่มคุ้นเคยกับภาษา เรื่องงานน่ะ ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะถือว่าง่ายสำหรับบีในตอนนั้น ปีนั้น บีได้รับเลื่อนขั้นด้วย รู้ข่าวจากเมืองไทยแล้วก้อดีใจค่ะ ตอนที่บีย้ายมาคุมทีมนี้ ทิมเค้าถึงคราวออกจากโปรเจ็ค ก้อมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ บีจำได้ตอนนั้นนึกเศร้าที่เค้าจะไปแล้ว คืนนั้นดื่มไปเยอะพอควร แล้วก้อมีเต้นแบบสไตล์คันทรี่ โดนบังคับให้เต้น รู้สึกอยากร้องไห้ที่ทิมจะกลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมาตอนเช้า เพิ่งรู้ว่าอาการแฮงค์เป็นยังไง รู้สึกคอแห้งทั้งวันอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ
การที่บีไปทำงานที่อเมริกา บีว่ามันทำให้บีกล้าขึ้น แล้วก้อ aggressive ขึ้นในความรู้สึกของบี แต่ว่าในความรู้สึกของพวกฝรั่ง เค้าก้อรู้สึกว่าเราเรียบร้อย ไม่ค่อยพูดอยู่ดี เค้าบอกว่า บีทำงานได้ดี need very minimal supervision พวกนาย ๆ รักค่ะ บีได้กลับเมืองไทยบ่อยกว่านโยบายของบริษัท เพราะการที่เรากล้าถาม กล้าขอ เพราะได้ยินว่าคนอื่นได้ เราก้อเลยลองขอบ้าง แล้วเราก้อได้เหมือนกัน บีเลยมีแนวคิดที่ได้จากเหตุการณ์พวกนี้ว่า ถ้าเรากล้าที่จะขอ บางทีเราอาจได้สิ่งนั้นมา หรือถ้าไม่ได้ ก้อไม่ต้องเสียใจทีหลังว่าตอนนั้นทำไมไม่ขอ จริงมั้ยคะ
เพื่อน ๆ ในทีมรู้ว่าบีชอบเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จะคอยแก้แกรมมาให้บ้าง แก้การออกเสียงให้บ้าง เพราะช่วงแรก ออกเสียงอะไรไป ไม่ค่อยมีคนเข้าใจ อิ ๆ คิดทีไรก้อขำทุกที นอกจากนี้ เพื่อน ๆ ยังชอบสอนพวกแสลงแบบไม่ค่อยดีให้บี เช่น Take a hike, go jump in a lake, eat dirt, watch your mouth or I’m gonna wash your mouth out with soap, or I’m gonna smack you one, Hit the road jack เป็นต้น ก้อดีนะคะ ได้ความรู้ดี ยิ่งถ้าบีพูดคำเหล่านี้ออกไปนะคะ เพื่อน ๆ ก้อจะขำมาก ตอนที่บีกลับเมืองไทย นายบีซื้อหนังสือให้เล่มนึง เป็นหนังสือรวบรวมแสลงโดยเฉพาะ เธอบอกว่า ครั้งหน้า ถ้าเพื่อน ๆ ในทีมพูดอะไรที่บีไม่เข้าใจ ให้บีลองหาในหนังสือเล่มนี้ดูสิ นายบีน่ารักมั้ยคะ
อืม เขียนมาเยอะจัง รู้สึกว่าเขียนยังไงก้อคงไม่หมดสักที พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้โอกาสหน้าเขียนใหม่ การเดินทางนี้ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยนะคะ ติดตามตอนต่อไปนะคะ
2 Comments:
At Sunday, June 19, 2005 8:29:00 AM, The Corgiman said…
My admiration of you grows everytime I finished reading your articles. รู้แล้วล่ะว่าทำไมชอบ คงเพราะบีเป็นคนที่เก่ง และสู้ดี ชอบคนที่มัพัฒนาการอ่ะครับ เจ๋งๆ เล่าอีกนะ
At Saturday, January 19, 2008 10:20:00 AM, Anonymous said…
เล่าได้น่ารักจัง อิอิ
Post a Comment
<< Home