Bee's Private Corner

Saturday, June 25, 2005

Dining in Bangkok...

วันนี้ขอพาไปเยี่ยมเยียนร้านอาหารหลากหลายที่บีเคยไปชิมมาค่ะ ปกติแล้วบีกะเพื่อน ๆ มักจะชอบไปลองร้านใหม่ ๆ อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเพื่อนบีที่ว่างหน่อย จะถูกมอบหมายให้หาร้านต่าง ๆ มานำเสนอด้วยสิ

หนึ่งในอาหารประจำชาติที่พวกเรามักจะไปสรรหาเพื่อลองกันนั้นก้อได้แก่ อาหารอิตาเลียนค่ะ

1. Zanotti เป็นร้านแรกที่อยากแนะนำ เพราะว่าอาหารอร่อย บรรยากาศดี อ้อ ถ้าจะไปลองขอแนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้านะคะ โดยเฉพาะมื้อเย็นเพื่อป้องกันความผิดหวังค่ะ เปิดทุกวัน 11:30 – 14:00, 18:00 – 22:30 อยู่ซอยศาลาแดงค่อนมาทางถนนสีลมค่ะ ร้านนี้อยู่ใกล้ออฟฟิสบี บีกะเพื่อน ๆ ไปทานร้านนี้หลายครั้งแล้วเหมือนกัน สนนราคาของอาหารอิตาเลียนก้อถือว่าแพง แต่ก้อสมราคานะคะ แล้วยังไง ๆ ก้อถูกกว่าอาหารฝรั่งเศสค่ะ อาหารที่บีกะเพื่อน ๆ ชอบสั่งก้อจะมี Risotto ซึ่งเป็นข้าวอิตาเลียน สั่งแบบผัดกับเห็ดป่าแล้วก้อไส้กรอกอิตาเลียนแบบมีพริกด้วย รสชาดดีค่ะ แล้วก้อชอบพวกสปาเก็ตตี้แบบที่ใส่ Pesto sauce หรือว่าใช้น้ำมันมะกอก ไม่ชอบซอสมะเขือ หรือซอสครีมค่ะ เบอร์โทรก้อ 02 636 0002, 636 0266

2. Scoozi ร้านนี้ก้อเปิดได้ไม่นานมากมังคะ เพื่อนบีเป็นคนแนะนำและพาไปทาน รู้สึกจะอยู่ถนนสุรวงศ์ค่ะ ช่วงกลาง ๆ บีไปทานมื้อกลางวัน อาหารจะค่อนข้างง่าย ๆ โต๊ะก้อจัดสไตล์แบบว่านั่งง่าย ๆ ลุกไว ๆ มั้งคะ มีพวกเคาน์เตอร์บาร์ด้วย มีหลายกระแสบ้างก้อว่า เจ้าของร้าน Zanotti มาเปิดโดยให้เป็นร้านที่เน้นทานกลางวันแบบง่าย ๆ เพื่อนบางคนก้อบอกว่าเป็นของคุณญานี บีก้อไม่รู้ว่าไง รู้แต่ว่าอาหารอร่อย พวกพิซซาที่อบร้อน ๆ แล้วก้ออะไรไม่รู้ที่เป็นมะเขือม่วง ๆ น่ะค่ะ ว้าาาา นึกคำภาษาอังกฤษไม่ออกอะ คือให้เค้าแนะนำอาหารให้ แล้วเค้าแนะนำตัวนี้ ถ้ามีโอกาสก้อลองไปชิมนะคะ บีไม่มีเบอร์ทอสับค่ะ แต่หาไม่ยากนะคะ ถ้ามุ่งหน้าไปทางพระรามสี่ มันจะอยู่ซ้ายมือค่ะ

3. Gianni ร้านนี้ไปลองนานมากแล้ว เวลาไปลองก้ออาศัยเวลาบริษัทเลี้ยงฉลองความสำเร็จของงานบ้าง ฉลองโอกาสพิเศษ ๆ บ้าง เพราะว่าร้านนี้แพงมาก แต่จำไม่ค่อยได้ว่าแพงแค่ไหนนะคะ อาหารและบรรยากาศก้อไม่เลว อยู่ที่ซอยต้นสนค่ะ เข้าไปไม่ลึกจะอยู่ทางขวามือ อาหารที่ขึ้นชื่อและลองทานตอนนั้นก้อคือสปาเก็ตตี้ที่ผัดกะซอสปลาหมึกดำ ๆ น่ะค่ะ ทานแล้วทั้งฟันทั้งปากทั้งลิ้น ดำไปหมด เบอร์โทรก้อ 02 652 2922 ค่ะ

4. L’Opera ร้านนี้อยู่สุขุมวิทซอย 39 ค่ะ ได้ยินคนบอกหลายครั้งว่าอาหารอร่อย แต่เพิ่งมีโอกาสไปชิมเมื่อสักสองปีมาแล้วมั้งคะ พอดีเพื่อนอเมริกันมา แล้วพาไปเลี้ยงวันวาเลนไทน์ควบกะวันเกิดรึป่าวจำไม่ได้ค่ะ วันนั้นคนเยอะมาก เลยต้องรอที่เคาน์เตอร์นั่งดื่มไปพลาง ๆ บรรยากาศดี ถ้ามีโอกาสก้อลองแวะเวียนไปนะคะ เปิดบริการทุกวัน 11:30 – 14:00, 18:00 – 22:30 www.loperabangkok.com เบอร์ทอสับ 02 258 5606, 662 5096

5. Biscotti ร้านนี้อยู่ที่โรงแรม Four Seasons (รีเจนท์เก่าน่ะค่ะ) เป็นอีกร้านนึงที่ขอแนะนำ เพราะว่าอาหารอร่อย พิซซาเนื้อบางเบาจากเตาอบ เคยไปทานกะเพื่อน ๆ ก้อหลายครั้งอยู่ ขอแนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้ากรณีที่เป็นวันศุกร์ หรือเสาร์นะคะ

6. Calderazzo ร้านนี้อยู่หลังสวนค่ะ เปิดได้ไม่นานมาก บรรยากาศดี อาหารอร่อย ไปทานมาหลายครั้ง เจ้านายของบีที่ทำงานบริษัทปัจจุบันก้อเคยไปลองแล้วชอบ เปิดทั้งกลางวันและเย็น เบอร์โทรก้อ 02 252 8108-9

7. Homework ร้านนี้จำได้ว่ามีทั้งอาหารอิตาเลียนและอาหารไทย อยู่สุขุมวิทซอย 31 พอเข้าซอยไป จะอยุ่หัวมุมซ้ายของแยกแรก อาหารรสชาดก้อใช้ได้ค่ะ เค้าจะมีขายพวกน้ำสลัด ขนมปังด้วย ซึ่งก้อมีวางขายตามห้างใหญ่ ๆ เช่น Emporium, Central Chidlom ตรง Tops รู้สึกว่าเค้าจะปิดวันจันทร์นะคะ เวลาทำการก้อ 4:30 – 10:00 PM เบอร์ทอก้อ 02 259 4845

8. Angelini ร้านนี้อยู่ที่โรงแรมแชงกรีลา เป็นร้านเดียวที่บีแนะนำในนี้แต่ยังไม่เคยไปลอง ว่าจะไปหลายครั้งแล้ว เพราะว่าได้ยินมาว่าอร่อยน่ะค่ะ ถ้าใครไปชิมแล้วได้ความว่าไงช่วยมาบอกบีด้วยนะคะ

9. Others ส่วนร้านอื่น ๆ ที่บีและเพื่อน ๆ ไปชิมมาก้อได้แก่ร้าน

Sanremo Pizzeria สุขุมวิทซอย 31 เพิ่งเปิดไม่นาน อยู่ถัดจากร้านเบเกอร์รี่ที่ชื่อ มูส แอนด์ เมอร์แรง (ร้านเบเกอร์รี่ร้านนี้ก้ออร่อย ขอบอก)
Papa Alfredo อยู่ตึกอื้อจื่อเหลียงตรงถนนพระรามสี่ ใกล้ ๆ ออฟฟิสบี อาหารก้อพอใช้ได้ แต่ราคาค่อนข้างแพง แต่ร้านนี้มักจะมีโปรโมชั่นร่วมกับพวกบัตรเครดิตต่าง ๆ ก้อน่าจะคุ้มนะคะ
Pomorado ตรงแถว ๆ Tony Romas สุขุมวิท ไม่รุ้สะกดผิดรึป่าว อยู่ริมถนนเลยค่ะ
Pan Pan, และอื่น ๆ อีกหลายร้านตรงหลังสวน มีอาหารอิตาเลียนเยอะ ไปลองทานมาหลายร้าน แต่ไม่ค่อยประทับใจร้านไหนเป็นพิเศษ อ้อ ยกเว้นร้าน Calderazzo ที่บอกไปข้างบนน่ะค่ะ แต่หลังสวนจะมีอาหารเวียดนามอร่อย ชื่อร้าน Thang Long ถ้าสะกดไม่ผิด อาหารอร่อย รสชาดดีมาก แต่ราคาก้อพอดูอยู่ค่ะ ถ้าขับรถจากเพลินจิตเข้าหลังสวน ร้านจะอยู่ขวามือเกือบจะสุด ๆ ถนนค่ะ
 ที่โรงแรมเรมแบรนด์ สุขุมวิทซอย 18 ก้อมีร้านอาหารอิตาเลียนนะคะ แต่บีจำชื่อร้านไม่ได้ เคยไปลองอยู่ครั้งนึงเหมือนกันค่ะ ก้อพอใช้ได้ พอดีตอนนั้นมีโปรโมชันของบัตร AMEX ได้ลด 30 % ก้อเลยถือโอกาสไปลองกะเพื่อน ๆ น่ะค่ะ

ถัดไปที่อยากแนะนำคือร้านอาหารฝรั่งเศสค่ะ จริง ๆ ก้อลองไปไม่กี่ร้าน เพราะว่าร้านอาหารฝรั่งเศสในกรุงเทพค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับร้านอาหารอิตาเลียนค่ะ ถ้าใครรู้จักร้านอื่น ๆ ที่บีเขียน ก้อช่วย comment มาด้วยนะคะ อยากจะไปลองค่ะ

1. Crepes & Co. ร้านนี้อยู่สุขุมวิท ซอย 12 ค่ะ ขายพวกเครปของฝรั่งเศสเยอะแยะไปหมด แบบว่ามีทั้งหน้าคาวหวานให้เลือกตามอัธยาศัย ตอนนั้นไปชิมกะเพื่อนซี้ แล้วก้อดื่ม Apple Cider ไปด้วยตามคำแนะนำของพนักงานเสิร์ฟ อยากให้ไปลองนะคะ บีเคยได้ยินชื่อมานานแล้วน่ะค่ะ ไปลองทานดูก้อไม่เลว www.crepes.co.th เบอร์ทอสับ 02 653 3990-1

2. Le Banyan ร้านนี้อยู่สุขุมวิท ซอย 8 ค่ะ เพื่อนในกลุ่ม Spice Gals เป็นคนแนะนำ ทางเข้าร้านดูเหมือนบ้านเก่า ๆ แต่ภายในบรรยากาศที่ตกแต่งก้อดูดีค่ะ อาหารฝรั่งเศสมักจะเป็นอาหาร portion เล็ก ๆ ราคาแพง วันนั้นทานกันไปไม่เยอะ ดื่มก้อคนละแก้วมังคะ จ่ายไปคนละสองพันกว่าบาท มีอาหารจานนึงเป็นเป็ดน่ะค่ะ ที่กุ๊กเค้ามาปรุงให้ดูต่อหน้าเลย ตั้งแต่การทำน้ำซอส จนกระทั่งการปรุงเป็ด บีไม่มีเบอร์ทอสับค่ะ แต่เข้าซอยไปลึกพอควร ถ้าจำไม่ผิด ร้านนี้จะอยู่ทางซ้ายมือค่ะ

3. Ma Maison ไม่รู้สะกดผิดรึป่าว เพิ่งไปลองมากับทางทีมงานเพื่อฉลองความสำเร็จของงานในระยะต้น ร้านนี้อยู่ที่โรงแรมฮิลตันเก่า อาหารอร่อยดี แต่ไม่ประทับใจตรงที่ตอนคิดเงิน มีการคิดรายการผิดพลาดเยอะ คือคิดเกินมา เช่นสั่งเครื่องดื่มสองแก้ว คิดมาห้าแก้ว แล้วก้อมีว่าสั่งอาหารแบบนึง เค้าคิดราคาอาหารอีกแบบนึงที่ราคาแพงกว่ามา อะไรเงี้ย ผู้จัดการต่างชาติก้อมีมาออกตัวขอโทษ แต่พวกเราก้อคิดว่า โรงแรม และร้านอาหารระดับนี้ ราคาระดับนี้แล้ว น่าจะมีระบบที่ดีกว่านี้ อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นนิสัยของ Consultants รึป่าว อิ ๆ

4. Mes A Mis ร้านนี้มีเพื่อนรุ่นน้องแนะนำให้หลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสไปลองสักที อยู่ที่สุขุมวิท 53 ซอยทองหล่อ 5 ค่ะ เค้าบอกว่าอาหารอร่อย บรรยากาศดี ยังไงถ้าไปลองแล้วบอกด้วยนะคะว่าดีจริงมั้ย เบอร์ทอสับก้อ 02 260 6445-6

ต่อไปก้อเป็นร้านแบบว่าคละ ๆ กันไปน่ะค่ะ ไม่ได้มีหลายร้านจนจะแยกออกมาจัดเป็นหมวดหมู่แบบอาหารอิตาเลียนและฝรั่งเศส อย่างแรกเลยอยากแนะนำร้านอาหารที่โรงแรมเรมแบรนด์ค่ะ อยู่สุขุมวิท ซอย 18 มีอยู่สองร้านที่อย่างน้อยบีอยากให้ไปลองชิมกันคือ

1. Senor Pico เป็นร้านอาหารเม็กซิกัน แล้วก้อมีโชว์ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลงและเต้นโชว์ด้วย บีชอบอาหารเม็กซิกัน แต่ว่าเมืองไทยก้อไม่ค่อยเห็นมีขายกันเท่าไหร่ อยากให้ไปลองชิมค่ะ โทร 02 261 7100 ต่อ 7550

2. Rang Mahal เป็นร้านอาหารอินเดีย รู้สึกจะอยู่ชั้นสูงสุดหรือเกือบสูงสุด บรรยากาศตกแต่งดูอลังการ คือบีไม่ได้ไปมานานแล้ว แต่เคยไปหลายครั้งอยู่ ร้านนี้ได้ข่าวว่าสมเด็จพระเทพฯท่านชอบเสด็จไปเสวยด้วย อาหารอร่อยนะคะ แล้วบรรยากาศก้อเข้ากะอาหารด้วย ยังไงก้อไปลอง ๆ ดูได้ค่ะ

ร้านอื่น ๆ ที่น่าไปลองก้อได้แก่

1. Bourbon St. (Bar & Restaurant – Cajun Creole Cuisine) ร้านนี้อยู่ที่สุขุมวิท ซอย 22 ค่ะ เข้าซอยไปแล้ว จำได้ว่าต้องเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็กอีกทีนึง ร้านนี้เพื่อนอเมริกันที่พาไปทานอาหารอิตาเลียนเป็นคนแนะนำ เลยพาเค้าไปทานหลายครั้ง ส่วนใหญ่ไปทานมื้อเช้าค่ะ บีว่าอาหารและบรรยากาศดีทีเดียว เป็นอาหารสไตล์ New Orleans ค่ะ www.bourbonstbkk.com เบอร์ทอสับ 02 259 0328-9, 259 4317

2. Kuppa (Tea & Coffee Traders) ไปมานานมากแล้ว มีคนบอกว่าต้องไปลองให้ได้ ก้อเลยไปกะเพื่อน ๆ ค่ะ อยู่สุขุมวิทซอย 16 จำได้ว่าคนเยอะมาก บรรยากาศก้อดี อาหารที่สั่งก้อสไตล์ไทย ๆ ค่ะ รู้สึกจะเป็นพวกคอหมูย่าง อะไรเงี้ย จำไม่ได้ว่ามีอาหารหลายประเภทมั้ยนะคะ แต่จำได้ว่าไปแล้วก้อไม่ได้รู้สึกผิดหวังค่ะ เบอร์โทร 02 663 0495, 02 258 0194-5

3. The Third Floor (Blood Type Cuisine) อยู่ที่อาคารวีรสุ ชั้นสาม ถนนวิทยุ ร้านนี้ทำอาหารให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือดที่คุณมี เค้าจะมีรายการอาหารแยกเป็นกรุ๊ปเลือดเลยว่า ถ้าจะทานก๋วยเตี๋ยว ต้องเป็นแบบไหน น้ำแบบไหนถึงจะดี แล้วก้อมีแจกเอกสารเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดคุณว่า เหมาะกับอาหารประเภทไหน ผลไม้ประเภทไหน การออกกำลังกายประเภทไหน เค้าประยุกต์มาจากหนังสือที่ขายดิบขายดีเรื่อง Eat Right for Your Type ซึ่งหลังจากที่บีไปทานร้านนี้ ก้อเลยหาซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่าน โดยฝากเพื่อนซื้อจากอเมริกา เล่มเบ้อเริ่มเลย ก้อเลยยังกลัวไม่กล้าอ่าน อิ ๆ บีว่ามันน่าสนใจดีนะคะ ส่วนเอกสารเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดที่เค้าแจก บีก้อเลยขอมาครบทุกกรุ๊ปเลย มาสังเกตตัวเองว่าชอบทานอะไรบ้าง ก้อค่อนข้างตรงกับกรุ๊ปเลือดตัวเองพอควร ถ้าไปทานอาจต้องจอง เพราะว่าคนเยอะพอควร ราคาก้อไม่แพงค่ะ www.verasu.com เบอร์ทอ 02 254 8101-8 ต่อ 3600

4. AGALICO อันนี้อยากให้ไปลองให้ได้ขอบอก สำหรับพวกคอกาแฟ หรือชา ที่ชอบบรรยากาศนั่งสบาย ๆ แล้วมีสวนสไตล์บาหลีด้านนอกที่สามารถออกไปเดิน หรือไปนั่งก้อได้ด้วย ร้านนี้เปิดเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 10 AM – 6 PM อยู่สุขุมวิท ซอย 51 เข้าซอยไปไม่ลึก อยู่ด้านขวามือ เบอร์ทอ 02 662 5857 มีโซฟาให้นั่งสบาย ๆ ด้วย แต่คนมักจะไปจับจองกันหมดก่อนแล้วตอนที่บีไปกะเพื่อน ๆ เห็นเค้าเล่าว่าเจ้าของบ้านไม่รู้จะทำอะไร ก้อเลยเปิดมาขายชา กาแฟ แล้วก้อขนมเล่น ๆ ค่ะ

5. Hanaya สำหรับผู้ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น จริง ๆ บีก้อมีหลายที่นะคะที่จะแนะนำ ที่นี่เป็นอีกที่นึงที่เพื่อนบีแนะนำ ราคาไม่แพง อยู่แถวสี่พระยาค่ะ เบอร์ทอสับ 02 233 3080, 234 8095 เปิดบริการ 11:30 – 14:00, 17:30 – 22:30

6. Rioja Spanish เป็นร้านอาหารสเปนอยู่เลยแยกชิดลมขึ้นไปทางโรงแรม Intercontinental แต่ก่อนจะถึงจะมีซอยเล็ก ๆ มีป้ายขาวตั้งอยู่ เค้าจะมี Flamingo dance show ตั้งแต่สองทุ่มเป็นต้นไปด้วยในช่วงสุดสัปดาห์นะคะ ร้านนี้บรรยากาศก้อดีนะคะ วันที่บีและเพื่อน ๆ ไป ก้อเจอคารา พลสิทธิ์ด้วย เบอร์ทอสับ 02 251 5761 พูดถึงอาหารสเปน เคยไปลองที่ร้าน โอเล โอเล่ ข้าง ๆ โรงแรมเอเชียด้วย ก้ออร่อยดีนะคะ ราคาไม่แพงด้วย แนะนำข้าวผัดสเปนค่ะ

วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ เพราะว่าจะไปทานติมชำที่โรงแรมบันยันทรี นี่ก้อเป็นอีกหนึ่งในอาหารจีนที่อร่อย อืมมมม นึกไปนึกมา บียังไม่ได้แนะนำร้านอาหารจีนเลยนี่นา งั้นคราวหน้า บีสัญญาว่าจะมาแนะนำร้านอื่น ๆ ให้มากกว่านี้นะคะ ไปก่อนนะคะะะะะะะ

Sunday, June 19, 2005

Working in the US...

วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเล่าเรื่องสมัยที่บีไปทำงานที่อเมริกาดีกว่า จำได้ว่าตอนนั้นเรียนจบมาได้ประมาณสองปีแล้วล่ะ บีทำงานในบริษัทที่ปรึกษาใหญ่แห่งหนึ่ง ถ้าจำเรื่องที่บีเล่าได้ในตอน Bee’s Private Corner บีเคยบอกว่าตัวเองมีความฝันมากมายหลายอย่างที่บางทีก้อไม่คาดคิดว่าจะไปถึงความฝันนั้นได้ หนึ่งในฝันนั้นของบีก้อคือการได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศค่ะ

หลังจากที่บีเรียนจบใหม่ ๆ บีสอบชิงทุน ก.พ. ได้สองทุน คือทุนเรียน MIS กับเรียนอะไรอีกอันบีจำไม่ได้แล้วล่ะค่ะ จำได้แต่ว่าเกี่ยวกับ Information System เหมือนกันแต่ไม่ใช่ MIS คือบีจบสถิติแล้วก้อรู้อะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พอสมควร โดยที่จริง ๆ แล้วบีไม่ใช่คนชอบเขียนโปรแกรมเลย จึงไม่เคยคิดจะสมัครงานเพื่อเป็นโปรแกรมเมอร์ ทั้ง ๆ ที่คนที่จบสถิติส่วนใหญ่จะไปทำงานคอมพิวเตอร์กัน งานที่ปรึกษาที่บีทำนั้น ก้อมีการเขียนโปรแกรมเหมือนกันค่ะ แต่ไม่มากนัก

พอบีชิงทุนได้ บีก้อยื่นใบลาออกค่ะ แต่ว่านายใหญ่ไม่ให้ออก เรียกไปพูดอยู่นานสองนานว่า ยูจะไปเรียนทำไม ทำงานแบบนี้แหละ ได้ประสบการณ์มากมาย บริษัทก้อใหญ่ มีอะไรให้ยูทำและเรียนรู้เยอะแยะ เชื่อผมเถอะ ผมผ่านอะไรมาเยอะแยะ บีก้อเลยตอบไปว่า บีอยากได้ภาษา คืออยากเก่งภาษาอังกฤษน่ะค่ะ คุณรู้มั้ยว่านายพูดว่าไง คือช่วงนั้นนะคะ เวลาบีไปทำงานที่บริษัทลูกค้า บีต้องตื่นแต่เช้านั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง ลงสถานีหัวหมาก แล้วต่อรถสองแถวไปลูกค้าเพื่อให้ทันเข้างานตอน 7:30 น. ซึ่งเช้ามาก แต่ก้อต้องทำ เพราะว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามค่ะ นายบอกว่า ตอนที่ยูนั่งรถไฟตอนเช้า ยูก้อฟัง soundabout (เขียนถูกป่าวเนี่ย) ฝึกภาษาไปด้วยสิ บีก้อเลยโต้ไปว่า มันก้อคงลำบากอยู่ดี ปกติอยู่ในรถไฟก้อง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว แถมการฝึกวิธีนี้ มันไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีไปกว่าการไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษกันจริง ๆ สักหน่อย

นายใหญ่ก้อเลยพูดกับบีว่า เอายังงี้ ตอนนี้มีออฟฟิสที่อเมริกากำลังอยากได้คนไปช่วยทำงานโปรเจ็คแบบ In-house อยู่ สนใจมั้ย แต่ไม่รับประกันนะว่าจะได้ เพราะคงต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกอีก ขอเวลาผมอีกสองเดือนได้มั้ย บีก้อบอกว่าสนใจ คือในใจจริง ๆ ตอนนั้น ก้อไม่ค่อยแน่ใจว่าอยากไปเรียนสักเท่าไหร่ เพราะว่า หนึ่ง อยากเรียน MBA มากกว่า สอง อยากได้ทุนแบบที่ไม่ต้องใช้คืนมากกว่า เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน นายมาบอกว่า โอเค ยูไปทำงานที่ชิคาโกหกเดือนนะ เป็น Internal Project ทำเกี่ยวกับ Training Management System ของบริษัทเอง ที่จะนำมาใช้ทั่วโลก

บริษัทที่บีทำงานมีบริษัทแม่อยู่ที่ชิคาโกค่ะ แล้วก้อมีศูนย์อบรมที่ใหญ่มากแบบแคมพัสเลย ที่ St. Charles, Illinois ก่อนไปทำงานคราวนี้ บีก้อเคยไปอบรมที่ศูนย์นี้มาแล้วแหละ บริษัทนี้เค้าจะมีหลักสูตรอบรมพนักงานใหม่แบบค่อนข้างจะเป็นระบบมาก ๆ ปีแรกที่บีเข้าไปนั้น ต้องไปอบรมเข้มสามอาทิตย์ที่ฟิลิปปินส์ คอร์สนี้ตอนหลังเค้าย้ายไปจัดที่อเมริกาค่ะ พอปีที่สอง ก้อมีคอร์สเรียกว่า Business Practice Course, System Installation School ปีที่สามก้อมี System Design School อะไรเงี้ยค่ะ ไปอบรมที่ศูนย์ในอเมริกานั่นแหละค่ะ

พอบีทราบว่าต้องไปทำงานที่อเมริกา ใจนึงก้อดีใจ อีกใจก้อกลัว ไม่รู้ว่าจะไปรอดรึป่าวน่ะค่ะ จำได้ว่าไปถึงอเมริกาวันแรกคือ 27 มิ.ย. ไปพักที่โรงแรมในดาวน์ทาวน์ชิคาโก เวลาไปทำงานก้อเดินไปที่สำนักงานใหญ่ที่ 69 W. Washington Street จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้วล่ะ รู้แต่ว่าไปถึงวันแรกก้อไปทำเปิ่นไว้เยอะ มันตื่นเต้นบอกไม่ถูก เจอเพื่อนร่วมงานในทีมเยอะแยะไปหมด บีเป็นคนเอเชียคนเดียวในทีม นอกนั้นก้อมีคนแคนาดา 3 คน ไอร์แลนด์ 1 คน สวีเดน 2 คน อเมริกาหลายคนมาก Supervisor บีเป็นคนอเมริกัน หน้าตาใจดี น่ารัก ชื่อ Tim นึก ๆ แล้วก้อขำในใจ วันแรกที่ไปถึง หลังจากคุยกะทิมได้พักนึง เค้าก้อพาบีไปเดินดูรอบ ๆ ออฟฟิส เค้าถามมาคำนึงที่บีฟังเท่าไหร่ก้อไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนเค้าต้องชี้ให้ดูว่าอะไร เลยถึงบางอ้อ มันคือ ห้องน้ำนั่นเอง อิ ๆ ก้อแหม คำที่เค้าใช้ในการถามบีอะ เค้าถามว่า You know where the restroom is ? ใครจะไปตรัสรู้ได้ล่ะว่า restroom แปลว่าห้องน้ำ พวกเราเรียนหนังสือมา ก้อรู้แต่จักแต่คำว่า Toilet นี่ไม่ต้องพูดถึงความคุ้นเคยกับสำเนียงการพูดของพวกเจ้าของภาษาอีกนะคะ วันนั้นสงสารทิมพอควร เพราะว่าถามอะไรบี เช่น เคยทำโน่น ทำนี่ หรือใช้ Microsoft Word มั้ย บีก้อ NOOOO คำเดียวตลอด เค้าคงคิดในใจว่า ไม่น่าเลยตรู

หลังจากอยู่ที่โรงแรมได้สี่วัน ก้อต้องโยกย้ายไปอยู่ Apartment รายเดือน ทุลักทุเลพอควร ข้าวของพะรุงพะรัง หาคนช่วยยกก้อไม่มี ถามหารถลาก ก้อฟังพนักงานผิวดำไม่ค่อยจารู้เรื่อง เวรกรรมเสียจริง ๆ พอย้ายเสร็จ นั่งแหมะลงบนโซฟาร้องไห้โฮ ๆ ๆ รู้สึกชีวิตรันทดจริง ๆ ค่ะ

ช่วงที่ไปทำงานระยะแรก พอพักเที่ยง บีก้อไปทานชั้นใต้ดินของตึกค่ะ บีเลือกทานอาหารจีนประจำ เพราะอย่างอื่นไม่รู้จะสั่งยังไง อาย และกลัวด้วย มีอยู่วันนึง พนักงานถามอะไรบีก้อไม่รู้ บีก้อ Excuse me, Pardon me อยู่น่านแหละ จนเค้าถามใหม่ว่า Anything to drink บีมาทราบภายหลังว่า เค้าถามว่า Any pop? ซึ่งก้อหมายถึงจะเอาเครื่องดื่มอะไรมั้ย ใครจะไปรู้ล่ะ ก้อภาษาอังกฤษที่พวกเราเรียนกันในโรงเรียนน่ะ มันไม่ได้มีคำแบบนี้นี่ เหมือนกับคำว่าห้องน้ำ restroom นั่นแหละ

หลังจากทำงานไปได้สองเดือน เพื่อน ๆ บีมันก้อบอกว่า U know, your English improves a lot บีก้อถามว่าทำไมหรอ เค้าก้อบอกว่า U don't say "YES" any more. U know, the first day you came here, we asked you where you were from, you said YES เลยโจ๊กกันใหญ่เลย แล้วเค้ายังพูดต่อว่า แล้ววันที่ยูต้องย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนท์นะ พวกเราก้องงว่าอยู่ ๆ ยูหายไปไหน บีก้อว่า บีทิ้งโน๊ตไว้ให้ทิมแล้วนี่นา พวกเค้าก้อบอกว่า แต่มันอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจนี่นา รู้มั้ย ฟังแล้วรู้สึกว่า ความมั่นใจในภาษาอังกฤษของบีลดฮวบ จากการที่คิดว่าตัวเองเรียนภาษาอังกฤษได้ดี มานี่แล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่องเอามาก ๆ ค่ะ

ตอนอยู่ชิคาโก พักในอพาร์ตเมนท์คนเดียว คนในทีมพักกระจัดกระจายกัน อยู่ได้ประมาณเดือนครึ่ง เราก้อต้องย้ายไปอยู่ที่ St. Charles กัน ตอนนั้นแหละ เป็นช่วงที่บีคิดว่า บีเกิดการเรียนรู้มากที่สุด อยู่ที่นี่ เค้าจับให้อยู่กันสองคนต่อหนึ่ง apartment เป็นแบบสองห้องนอนนะคะ แล้วก้อมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซักผ้า อะไรเงี้ย บีได้อยู่กะเพื่อนอเมริกันที่เป็นชาว Jewish เรียบร้อย น่ารัก แต่ก้อชอบนินทา และขี้เล่น เธอชื่อไดแอนค่ะ ไดแอนทำให้บีเรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทำให้บีชอบทาน Bagel รู้สึกว่าชาว Jewish จะทาน Bagel ประจำ ไดแอนทำให้บีเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตของคนอเมริกันมากขึ้นค่ะ

ตอนนั้นบียังขับรถไม่ได้ ไดแอนเลยเป็นคนขับประจำ แล้วก้อมีแอบสอน ๆ บีขับบ้างนิดหน่อย ช่วง Thanksgiving เธอก้อชวนบีไปที่บ้านเธอที่ St. Louis ไปกันประมาณห้าวันมั้งคะ ขับรถของพวกเราไปกันเอง บีไปร่วมทานไก่งวง พายฟักทอง ที่บ้านของไดแอนร่วมกับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย และคุณยายของเธอ คุณแม่ของไดแอนยังสอนให้บีปักรูปนกฮูกเพราะรู้ว่าบีสนใจเรื่องพวกนี้ แถมยังให้ผ้าลายสวย ๆ ที่ใช้ทำผ้าม่านมาให้บีเยอะแยะไปหมด จนป่านนี้บียังมีเก็บไว้เลย บางผืนก้อมาเย็บเป็นผ้าม่านห้องนอนที่บ้าน ไปเที่ยวครั้งนั้นก้อมีโอกาสขึ้นไปที่ The Arch แล้วก้อไปทาน McDonald ที่เป็นเรือตั้งอยู่บนแม่น้ำ Missippi น่ะค่ะ ไดแอนพาไปโบสถ์กะคุณแม่เค้าด้วย สถาปัตยกรรมภายในโบสถ์สวย บีรู้สึกดีใจ แล้วก้อประทับใจในประสบการณ์ครั้งนั้นมากค่ะ ล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ บีก้อติดต่อไปหาไดแอนโดยทางจดหมายไปที่บ้านพ่อแม่เค้า เค้าก้อเขียนอีเมล์กลับมาหาตามที่บีให้ไป เค้าแต่งงานแล้ว มีลูกแล้วด้วย แล้วก้ออยู่สุขสบายดีค่ะ

ช่วงที่ไปทำงานที่อเมริกา บีมีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไปศึกษาต่อ MBA ที่นั่นพอดี ดังนั้น พอช่วงที่เป็นวันหยุดฝรั่ง เราก้อหาเรื่องบินมาเจอกันเพื่อเที่ยวด้วย บีก้อมีไปเที่ยวทาง East, Northeastern parts ช่วงคริสต์มาส ตอนนั้นเช่าเป็นรถแวนเลยล่ะ เพราะว่ามีเพื่อน ๆ บีหลายคน แล้วพี่รหัสบีตอนนั้นก้อไปเรียนโทและเอกอยู่ แล้วก้อมีเพื่อน ๆ ของพี่รหัสอีก อีกครั้งนึงก้อไปทาง West ค่ะ แล้วก้อมีไปรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐมาก ๆ ช่วงที่บีกลับไปทำงานอีกโปรเจ็คนึงที่อเมริกาในเวลาต่อมา

หลังจากจบ 6 เดือน ปรากฎว่า ทางทีมขอให้บีอยู่ต่อ เพื่อดูแลทีมที่เรียกว่า Fix It Team คือเป็นทีมที่จะแก้ไขโปรแกรมเมื่อทดสอบแล้วเจอ bug ตอนนั้นมีลูกทีมเป็นคนอเมริกันหลายคน เข้ากันได้ดีค่ะ งานก้อสนุกดี เพราะว่าบีก้อเริ่มคุ้นเคยกับภาษา เรื่องงานน่ะ ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะถือว่าง่ายสำหรับบีในตอนนั้น ปีนั้น บีได้รับเลื่อนขั้นด้วย รู้ข่าวจากเมืองไทยแล้วก้อดีใจค่ะ ตอนที่บีย้ายมาคุมทีมนี้ ทิมเค้าถึงคราวออกจากโปรเจ็ค ก้อมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ บีจำได้ตอนนั้นนึกเศร้าที่เค้าจะไปแล้ว คืนนั้นดื่มไปเยอะพอควร แล้วก้อมีเต้นแบบสไตล์คันทรี่ โดนบังคับให้เต้น รู้สึกอยากร้องไห้ที่ทิมจะกลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมาตอนเช้า เพิ่งรู้ว่าอาการแฮงค์เป็นยังไง รู้สึกคอแห้งทั้งวันอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ

การที่บีไปทำงานที่อเมริกา บีว่ามันทำให้บีกล้าขึ้น แล้วก้อ aggressive ขึ้นในความรู้สึกของบี แต่ว่าในความรู้สึกของพวกฝรั่ง เค้าก้อรู้สึกว่าเราเรียบร้อย ไม่ค่อยพูดอยู่ดี เค้าบอกว่า บีทำงานได้ดี need very minimal supervision พวกนาย ๆ รักค่ะ บีได้กลับเมืองไทยบ่อยกว่านโยบายของบริษัท เพราะการที่เรากล้าถาม กล้าขอ เพราะได้ยินว่าคนอื่นได้ เราก้อเลยลองขอบ้าง แล้วเราก้อได้เหมือนกัน บีเลยมีแนวคิดที่ได้จากเหตุการณ์พวกนี้ว่า ถ้าเรากล้าที่จะขอ บางทีเราอาจได้สิ่งนั้นมา หรือถ้าไม่ได้ ก้อไม่ต้องเสียใจทีหลังว่าตอนนั้นทำไมไม่ขอ จริงมั้ยคะ

เพื่อน ๆ ในทีมรู้ว่าบีชอบเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จะคอยแก้แกรมมาให้บ้าง แก้การออกเสียงให้บ้าง เพราะช่วงแรก ออกเสียงอะไรไป ไม่ค่อยมีคนเข้าใจ อิ ๆ คิดทีไรก้อขำทุกที นอกจากนี้ เพื่อน ๆ ยังชอบสอนพวกแสลงแบบไม่ค่อยดีให้บี เช่น Take a hike, go jump in a lake, eat dirt, watch your mouth or I’m gonna wash your mouth out with soap, or I’m gonna smack you one, Hit the road jack เป็นต้น ก้อดีนะคะ ได้ความรู้ดี ยิ่งถ้าบีพูดคำเหล่านี้ออกไปนะคะ เพื่อน ๆ ก้อจะขำมาก ตอนที่บีกลับเมืองไทย นายบีซื้อหนังสือให้เล่มนึง เป็นหนังสือรวบรวมแสลงโดยเฉพาะ เธอบอกว่า ครั้งหน้า ถ้าเพื่อน ๆ ในทีมพูดอะไรที่บีไม่เข้าใจ ให้บีลองหาในหนังสือเล่มนี้ดูสิ นายบีน่ารักมั้ยคะ

อืม เขียนมาเยอะจัง รู้สึกว่าเขียนยังไงก้อคงไม่หมดสักที พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้โอกาสหน้าเขียนใหม่ การเดินทางนี้ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยนะคะ ติดตามตอนต่อไปนะคะ

Saturday, June 18, 2005

Bee's Private Corner...

ชอบมากเลย กับคำว่า “มุมส่วนตัวของบี…” จริง ๆ มันก้อคงไม่ค่อยจะส่วนตัวเท่าไหร่หรอก เพราะว่าคงมีใครบางคนได้มีโอกาสเข้ามาอ่านบทความต่าง ๆ ที่บีเขียน แต่บีก้อรู้สึกดีนะคะที่ตัวเองมีมุมส่วนตั๊วส่วนตัวที่สามารถจะมาขีดเขียนอะไรก้อได้ที่นึกอยากจะเขียน เล่า หรือระบายออกมา

วันนี้รู้สึกเหนื่อยมากเลย ไม่รู้เป็นอะไร แต่จริง ๆ บีก้อรู้สึกเหนื่อยอยู่บ่อย ๆ เหมือนคนหมดแรงยังไงก้อไม่รู้ บีเคยคิดว่า อยากจะลาออกจากงานเพื่อที่จะไปเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อหาประสบการณ์และอาจจะทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างการเดินทางไปด้วย เคยฟังเพื่อนร่วมงานต่างชาติที่เล่าว่าเค้าเคยทำแบบนี้ก่อนที่จะเริ่มทำงานจริง ๆ จัง ๆ ฟังแล้วก้อยิ่งรู้สึกอยากจะทำบ้าง แต่ว่าโอกาสที่บีจะทำมันคงน้อยลงทุกที ๆ เนื่องจากว่าอายุค่อนข้างมากขึ้นแล้ว หน้าที่การงานก้อไม่ใช่ว่าจะเอื้ออำนวยให้ไปทำแบบนั้นได้ง่าย ๆ คือหมายความว่า ถ้าไปทำแบบนั้นแล้ว ต้นทุนค่าเสียโอกาสในด้านต่าง ๆ มันคงสูงมาก แล้วบีก้อไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวด้วย ยังมีคุณแม่ และครอบครัวที่จะต้องให้คอยเป็นห่วงและกังวล รวมทั้งมีคนที่เป็นห่วงเราอีกมากมาย

บีโตมาในครอบครัวคนจีนที่คุณพ่อคุณแม่อพยพมาจากเมืองจีน ตอนที่ท่านอพยพมานั้น ท่านมีลูกเล็ก ๆ กระเตงมาด้วย 3 คน คุณพ่อบีท่านเก่งคณิตศาสตร์ แต่เรียนไม่สูง ส่วนคุณแม่มาจากครอบครัวชาวนาแล้วก้อไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ แต่ท่านมีความขยัน อดทน หนักเอา เบาสู้ จิตใจดี ประหยัด มัธยัสถ์ จริง ๆ ถ้าจะว่าไปแล้ว ลูก ๆ ของท่านก้อได้นิสัยจากท่านหลาย ๆ อย่างนะคะ คุณแม่พูดเสมอว่า ท่านอยากให้ลูก ๆ ทุกคนเรียนหนังสือให้มาก ๆ จะได้ไม่ลำบากอย่างท่าน ที่ไม่มีโอกาสได้รู้หนังสือ บีว่าคุณแม่บีน่ะเก่ง มองการณ์ไกล หลาย ๆ อย่างที่ท่านคิดและทำนั้น เป็นประโยชน์กับลูก ๆ มากมายค่ะ บีว่าถ้าคุณแม่บีเรียนหนังสือ ท่านต้องไปรุ่งแน่ ๆ เลย แม่เคยบอกว่า บางทีฝันว่าตัวเองขับรถเป็น แล้วก้อขับรถส่งลูก ๆ ไปโรงเรียนด้วย

เราเป็นครอบครัวใหญ่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่มีลูก 10 คนแน่ะ ผู้ชายแค่สองคน คุณแม่บอกว่าคุณพ่อไม่ยอมทำหมัน จริง ๆ แล้วคนจีนเค้าชอบที่จะมีลูกชาย พี่ชายบีเป็นลูกคนที่ 4 และ 5 แต่คุณพ่อก้อยังไม่หยุดผลิต ผลผลิตที่ตามมาอีก 5 หน่วยเลยกลายเป็นลูกสาวหมด แต่บีว่าการที่เป็นครอบครัวใหญ่ ก้อทำให้พวกเราไม่เหงา สนิทกันเหมือนเพื่อนสนิท เล่นกัน ร้องเพลงด้วยกัน หัวเราะด้วยกันสนุกสนาน แล้วที่สำคัญก้อคือ ช่วย ๆ กันทำงานหาเงินแต่เด็กเพื่อเก็บเงินเรียน แบ่งเบาภาระคุณพ่อและคุณแม่ พวกเราจึงรู้ค่าของเงินตั้งแต่เด็ก ๆ ค่ะ ที่บีจำได้แม่นก้อคือ มีอยู่ครั้งนึงที่บีไม่สบายมากแต่ไม่มีเงินไปหาหมอ ครั้งนั้นแย่มากเลย จำได้ราง ๆ ว่าไม่สบายค่อนข้างมาก สุดท้ายรู้สึกว่าคุณแม่จะไปยืมตังค์ใครเพื่อพาบีไปหาหมอมั้งคะ

คุณพ่อบีท่านเป็นคนดุ แล้วพวกเราก้อไม่ค่อยได้ใกล้ชิดท่านเพราะว่าท่านทำงาน ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน พวกเราจึงใกล้ชิดกับท่านมากกว่า พี่น้องบีเรียนหนังสือเก่ง ๆ กันทุกคน นี่เป็นโชคดีอย่างนึง เพราะว่าพวกเราคงไม่มีเงินไปเรียนพิเศษแบบคนอื่น ๆ ที่โชคดีอีกอย่างก้อคือ สมัยก่อน ค่าเทอมไม่แพงมากเท่าสมัยนี้ แล้วก้อไม่ต้องมีพวกค่าแป๊ะเจี๊ยะอะไรด้วย บีอย่างนึงที่บีไม่ค่อยชอบคือว่า บีต้องรับมรดกชุดนักเรียน หนังสือเรียน และอะไรต่าง ๆ ของพี่สาวบีเพื่อเป็นการประหยัดด้วย แล้วก้อจำได้ว่ากระโปรงนักเรียนก้อมีอยู่แค่ตัวสองตัวเองมั้ง ต้องสลับกันใส่

มีเรื่องขำขันคือ เวลาบีและพี่น้องสอบได้ที่หนึ่ง คุณพ่อจะให้หนึ่งร้อยบาท ถ้าได้ที่สามก้อได้สามร้อยบาท แล้วคุณคิดดูสิว่าพวกเราจะอยากสอบได้ที่เท่าไหร่ อิ ๆ บีจะเรียนเก่งเป็นพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ เรียกว่าคณิตศาสตร์เป็นเรื่องหมู ๆ ที่บีไม่เคยต้องมานั่งอ่านหนังสือ หรือทบทวนอะไรก่อนสอบมากนัก ยกเว้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยนะคะ ส่วนภาษาอังกฤษก้อเป็นสิ่งที่บีให้ความสนใจเป็นพิเศษ แล้วก้อวาดฝันว่าอยากเรียนต่อต่างประเทศมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ก้อรู้ดีว่าคงเป็นไปได้ยาก ด้วยสภาพฐานะในตอนนั้น มาถึงวันนี้ บีคิดว่าหนังสือที่เค้าบอกว่าให้ THINK BIG นั้น บีว่ามันมีส่วนจริงนะคะ บีมานั่งคิดตรึกตรองย้อนหลังแล้วก้อคิดว่า มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่บีเคยคิดว่าอยากทำ อยากได้ อยากโน่น อยากนี่แล้วบีได้มาแล้ว โดยที่เคยคิดว่าความน่าจะเป็นที่จะได้นั้นต่ำมาก วิเคราะห์แล้วก้อได้ข้อสรุปที่ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกรึป่าวว่า ตราบใดที่คนเรามีความฝัน มีความคิดที่จะทำอะไรที่มันอาจจะสูงเกินกว่าที่เราคิดว่าจะทำได้ มันจะเป็นแรงให้เกิดพลังขับเคลื่อนภายในตัวของเราเอง ที่จะพยายามดำเนินการหรือทำอะไรให้ไปได้ถึงจุดนั้น คิด ๆ ดู ก้อเหมือนกับการตั้งเป้าหมายในลักษณะที่เป็น Stretch goals คือว่าตั้งให้ท้าทาย ให้สุด ๆ เข้าไว้ แต่ต้องเป็น SMART goals ด้วยนะคะ คือต้อง Specific, Measurable, Attainable, Realistic and Timebound เพราะเมื่อเราตั้งเป้าแบบท้าทายนั้นแล้ว ถึงแม้เราจะไปไม่ได้ถึงเป้า แต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นส่วนใหญ่ก้อยังเป็นอะไรที่สูงกว่าปกติเสมอ อืม เขียนไปเขียนมาไหงกลายเป็นเรื่องการตั้งเป้าหมายไปได้

บีเป็นคนดื้อ โมโหร้าย เวลาโมโหขึ้นมาน่าดูชมทีเดียว บางทีก้องี่เง่า คุณแม่เคยบอกว่า บีอะน่ารัก เสียอย่างเดียวเท่านั้นคือเจ้าอารมณ์ไปหน่อย เวลาโมโหแล้วไม่น่ารัก ซึ่งก้อจริงนะคะ เพียงแต่ว่าความโมโหมันไม่ได้เกิดบ่อย ๆ แล้วดีกรีความโมโหร้ายก้อลดลงเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลที่ผ่านไป นอกจากนี้แล้ว บียังเป็นคนขี้อ้อนด้วย แต่ส่วนใหญ่ก้ออ้อนกับคนในครอบครัวนั่นแหละค่ะ หรือไม่ก้อกะเพื่อนสนิท ๆ กันจริง ๆ เท่านั้น

เวลาบีมีเวลาว่าง บีก้อจะชอบนั่งเจ๊าะแจ๊ะกะครอบครัวบ้าง ชอบฟังเพลง บางครั้งก้อจะแช็ท ถ้าว่างมากก้อหาเรื่องไปเที่ยว บีมีเป้าหมายในการท่องเที่ยวสถานที่ ๆ บีไม่เคยไปอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะต่างประเทศ โดยคิดว่าถ้าแก่ตัวไปแล้ว การเที่ยวต่างประเทศคงไม่ค่อยสะดวก โดยเฉพาะในเมืองหนาว เลยรีบ ๆ เที่ยวเพื่อความสุข แล้วยังเป็นการเปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์ไปด้วย ที่ผ่านมาก้อมีโอกาสไปเที่ยวประเทศอเมริกา กว่าสี่สิบรัฐ แคนาดา เกือบทุกประเทศในยุโรปตะวันตก ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย เนปาล การท่องเที่ยวช่างเป็นอะไรที่ได้ทั้งสาระและความบันเทิงสำหรับบีจริง ๆ ส่วนคนที่บีจะชวนไปเที่ยวด้วยนั้นก้อช่างหายากเหลือเกิน ทำไมน่ะหรอคะ ก้อส่วนใหญ่บีชอบไปแบบว่าครั้งละสองถึงสามอาทิตย์ ดังนั้น คนอื่นก้อจะหยุดงานไม่ค่อยได้ บางคนก้อติดที่งบประมาณ บอกว่าถ้าจะให้ไปด้วย ก้อช่วยออกตังค์ให้ด้วย แหมมมมมมม เมื่อไหร่จะเจอคนที่ไปเที่ยวกะบีได้อย่างไม่มีเงื่อนไขเนี่ย ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้น บีก้อเริ่มมาหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่ก้อไปกะครอบครัว หรือเพื่อนสนิทจากโรงเรียนมัธยม หรือเพื่อนสนิทจากที่ทำงานเก่าค่ะ มีอยู่ครั้งนึงเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ไป countdown ปีใหม่ที่ฟาร์มม้าในโคราช มีเพื่อนเป็นสัตวแพทย์ในฟาร์มม้าใหญ่แห่งนึง เจ้าของเค้าอนุญาตให้พักบ้านเค้า แล้วก้อทำบาร์บีคิวกันในสนามหญ้า จำได้ว่าคืนนั้นดาวเต็มฟ้า อากาศดี พวกเรามีความสุขกันมาก แต่อาหารก้อเหลือเพี่ยบ เพราะว่าซื้อมามากเกินไป

บีมีความสนใจในหลาย ๆ เรื่องนะคะ ถ้ามีโอกาสก้อจะพยายามทำอะไรที่อยากจะทำ เช่น หลายปีก่อนก้อไปเรียนเพนท์กระเบื้องพอร์ซเลนแบบเทคนิคยุโรป คือ มันจะมีเทคนิคสองแบบคือแบบยุโรปและอเมริกา คอร์สนึงก้อเรียนหกครั้ง เรียนทุกเสาร์บ่าย ก้อจะได้ชิ้นงานหลายชิ้นค่ะ จบคอร์สนึงก้อเรียนต่ออีก แล้วก้อมีเรียนเทคนิค Decoupage เรียนร้อยลูกปัด เป็นต้น แล้วก้อไปเรียนเบเกอร์รี่กะอาจารย์ยิ่งศักดิ์เมื่อหลายปีก่อน เรียนภาษาเยอรมันอยู่ 3 คอร์ส ที่เกอร์เธ่ ตอนนี้กำลังคิดอยากไปเรียนดูฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง เรียนดูเพชร เรียนดำน้ำ (อันนี้เพื่อนสนิทสมัยมัธยมคอยบอกให้ไปเรียน เพราะทุกคนดำได้กันหมดแล้ว)

บีชอบทะเล เวลาไปทะเลจะชอบเหม่อมองดูทะเลแบบไร้จุดหมาย มีความรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นทำให้บีมีสมาธิ จะรู้สึกสงบ ปล่อยใจล่องลอยไปถึงไหนต่อไหน ชอบทะเลที่หัวหินค่ะ ใกล้ดีด้วย แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปเลย ปีที่แล้วบีพาพี่สาวไปหัวหิน ติดใจใหญ่เลย มาถามบีว่าปีนี้จะไปอีกมั้ย

บีไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ จะอ่านเฉพาะเรื่องที่สนใจเท่านั้น ชอบอ่านหนังสือประเภทที่ให้คุณค่าต่อจิตใจหรือจิตวิญญาณ แล้วก้อสุขภาพ นอกจากนี้ก้อสนใจในเรื่องการวางแผนอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุน การประกันชีวิตและสุขภาพ เพื่อรองรับเป้าหมายตัวนึงที่บีมีคือ บีต้องการเลิกทำงานหนักแบบนี้ตอนอายุสัก 40 หรือ 40 ต้น ๆ แล้วหางานที่บีมีใจรัก เงินเดือนไม่ต้องมาก ทำแล้วมีความสุขใจ เป็นอะไรที่จะมาเติมเต็มในส่วนของจิตใจมากกว่า บางครั้งก้ออยากนั่งทำงานเพนท์ เขียนหนังสือ จิบกาแฟหอม ๆ ฟังดนตรีไพเราะ ๆ อืม มีความสุขจัง

ว่าแล้ว เดี๋ยวบีเตรียมตัวไปยิมดีกว่า ไปว่ายน้ำผ่อนคลายในวันหยุด ….. แต่ว่า Bee’s Private Corner ยังไม่จบแค่นี้นะคะ เพียงแต่ไม่รู้จะมีอารมณ์เขียนอีกเมื่อไหร่ :-)

Monday, June 13, 2005

Studying in the UK...

ก่อนอื่น บีคงต้องขอขอบคุณคน ๆ หนึ่งที่ช่วยทำให้บีเกิดแรงบันดาลใจในงานเขียนชิ้นแรกในชีวิต อืม ค่ะ เป็นชิ้นแรกจริง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานค่ะ หลังจากที่เคยใฝ่ฝันหลาย ๆ ครั้งว่าอยากจะเขียนประสบการณ์ต่าง ๆ ที่บีเคยประสบพบมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ทำงาน ประสบการณ์ที่ได้รับจากการท่องเที่ยว เป็นต้น

หัวข้อนี้ก็เป็น Special Request จากคน ๆ นั้นที่อยากให้บีเขียนค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเขียนได้เรื่องได้ราวอย่างไรบ้าง ยังไง ๆ บีก็เปิดรับข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงงานเขียนในอนาคตนะคะ หรือว่าถ้าอยากให้บีเขียนเรื่องไหนเป็นพิเศษก็ขอมาได้ค่ะ

เมื่อหลายปีก่อน บีได้มีโอกาสไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สหราชอาณาจักรในส่วนของสก๊อตแลนด์ เมืองกลาสโกว์ บียังจำได้แม่นว่าวันแรกที่ไปถึงนั้น จะต้องไปอยู่ที่หอพักนักศึกษา ซึ่งบีได้อยู่ชั้นหก นึกดูสิคะว่ามันแย่ขนาดไหนที่ไม่มีลิฟท์ แย่ตรงตอนที่เราต้องขนสัมภาระเนี่ยแหละค่ะ

อ้อ ลืมเล่าไปค่ะว่า ในระหว่างที่บีนั่งแท็กซี่จากสนามบินไปที่มหาวิทยาลัยนั้น บรรยากาศทมึน ๆ ขรึม ๆ ของสก๊อตแลนด์ทำให้บีรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เมืองที่ดูเก่า ๆ ซึ่งทราบภายหลังว่ากลาสโกว์เคยเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดร่องรอยความทรุดโทรมตามตึกต่าง ๆ บีจำไม่ได้ว่าเค้าใช้ศัพท์คำว่าอะไรนะคะ ขณะที่แท็กซี่แล่นไปตามท้องถนน ฉับพลันบีก้อเห็นตึกเก่า ๆ โทรม ๆ ดูคล้าย ๆ พวกตึกรัฐสภาอะไรเงี้ย ก้อเลยถามคนขับว่าตึกข้าง ๆ นี้คืออะไรหรือ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า Royal Infirmary บีก้อถามต่อว่าคืออะไรหรือ ก้อได้ทราบว่าคือโรงพยาบาล ซึ่งบีรู้สึกว่าถ้าบีเป็นคนไข้แล้วต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ดูเก่า ๆ แบบนี้ คงรู้สึกกลัวไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะได้กลับออกมาอีกรึเปล่า

ชีวิตนักศึกษามันก้อไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ค่ะ บีเคยทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก้อใช้ชีวิตอย่างสุขสบายใน Serviced Apartment ที่มีทั้งเตาอบ เตาไมโครเวฟ มีเครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เอาเป็นว่ามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังมีคนมาทำความสะอาดให้ทุกวันอีกด้วย แล้วก้อมีรถให้ขับอีกต่างหาก มาถึงกลาสโกว์พอเข้าหอแล้วรู้สึกว่า โหหหห ทำไมมันแย่แบบนี้นะ ห้องนอนก้อเล็กและไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์ ดูแล้วไม่ค่อยกล้านอนเพราะดูไม่ค่อยสะอาด ห้องน้ำเป็นแบบรวมเพราะว่าเป็นแฟลตอยู่กันหกคน ห้องครัวก้อแบบรวม ไมโครเวฟก้อไม่มี เวลาจะอุ่นหรือละลายอะไรเนี่ยก้อลำบากยากเย็น จะซักผ้าก้อต้องเดินไปไกล จะทำอะไร โอ๊ยยยย ทำไมมันลำบากลำบนแบบนี้ เมื่อเทียบกับชีวิตทำงานในอเมริกา

เท่านั้นยังไม่พอนะคะ สก๊อตแลนด์ยังได้ชื่อว่าเป็น Kingdom ที่วันหนึ่ง ๆ มีสี่ฤดูได้ คือว่า แดดออกอยู่ดี ๆ ก้อครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้วก้อจะมีฝนเทลงมา แล้วอีกพักนึงก้อสว่าง อากาศเย็น ๆ อะไรเงี้ย เพราะฉะนั้นร่ม หรือว่า Rain Jacket เนี่ยค่อนข้างสำคัญเลยทีเดียวค่ะ อากาศแบบนี้ ก้อยิ่งทำให้ความรู้สึกบีมันไม่ค่อยจะสดใส หรือสดชื่นเอาซะเลย

หลังจากที่บีขนกระเป๋าเข้าที่พ้กเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก้ออยากออกไปเดินหาซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของใช้จำเป็น ก้อเดินถามคนแถวนั้น โห เชื่อมั้ยคะ ขนาดบีคิดว่าภาษาอังกฤษบีก้อดีพอควรจากการเคยใช้ชีวิตต่างแดนมาแล้ว บีฟังคำอธิบายจากคุณป้าคนท้องถิ่นไม่รู้เรื่องเลย นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันคำพูด หรือคำเตือนของเพื่อน ๆ อเมริกันที่บอกบีก่อนจะไปเรียนว่า ยูรู้มั้ยว่า Scottish Accent นั้นหนา ฟังยาก ขนาด I ยังฟังไม่รู้เรื่องเลย บีถึงบางอ้อ และบรรลุสัจธรรมก้อตรงนี้เอง ถึงตอนนั้นเริ่มอยากร้องไห้ เพราะว่าเหนื่อยมาก

นอกจากนี้ ในเมืองที่บีอยู่ มีหลาย ๆ ส่วนของเมืองที่มีลักษณะเป็นทางลาดชันเหมือนต้องเดินขึ้นเขา โดยเฉพาะทางที่จะเข้าตึกเรียนบี มันชันมากเลย เพราะงั้น มีอยู่วันหนึ่งหลังจากไปอยู่ที่เมืองนั้น บีโทรกลับบ้าน เล่าโน่นเล่านี้แบบที่บีเพิ่งเล่าไปนั่นแหละ เล่าไปเล่ามาก้อร้องไห้ รู้สึกรันทดใจอย่างบอกไม่ถูก อืม ก้อคนเคยอยู่ค่อนข้างสุขสบายมังคะ ยังปรับตัวไม่ทันค่ะ

อ้อ ๆ ๆ ลืมเล่าไปอีกอย่างนึงค่ะ ว่าในสก๊อตแลนด์นั้น จะมีเครื่องแต่งกายประจำชาติของเค้าสำหรับผู้ชาย จะสวมใส่กระโปรงลายสก๊อต (tartan skirt)ที่เรียกว่า kilt ก่อนที่บีจะเดินทางไปศึกษาต่อนั้น เพื่อน ๆ ต่างชาติก้อมาคุยกะบี แล้วก้อถามบีว่า You know, what does a Scottish man wear under the kilt? บีก้ออึ้ง คือว่างงทั้งศัพท์ว่าไอ้ kilt เนี่ยมันคืออะไร แล้วก้องงว่ามาถามทำไมวะ อะไรเงี้ย ตอนแรกเค้าก้อบอกว่าให้ไปหาคำตอบเอาเองตอนไปถึงที่โน่นแล้ว แต่พอเจอลูกตื๊อของบีก้อเลยเฉลยว่า ตามขนบประเพณีของชาวสก๊อตแลนด์ ผู้ชายจะไม่สวมใส่อะไรเลยภายใต้กระโปรง kilt ที่เค้าสวมใส่กัน อืม น่าทึ่งดีนะคะ ตอนหลังที่เห็นเพื่อน ๆ ชาวสก๊อตช์ของบีนุ่งกระโปรงเนี่ย บีก้อถามเค้าว่าจริงรึป่าว เค้าก้อหัวเราะ ๆ บอกว่าจริง อืมมมมมม แหม น่าเปิดดูจัง อิ ๆ

อีกอย่างนึงที่เกี่ยวกับสก๊อตแลนด์ก้อคืออาหารประจำชาติที่เรียกว่า haggis (นิยามจาก online dictionary ของบีคือ made of sheep's or calf's viscera minced with oatmeal and suet and onions and boiled in the animal's stomach) คือเป็นอะไรที่แหยะ ๆ ทำจากพวกไส้ เครื่องในของแกะ อะไรเงี้ย ทานแล้วก้อรู้สึกแปลก ๆ นะคะ บีเคยลองทานแค่หนสองหน

หลังจากที่บีใช้ชีวิตอยู่ที่สก๊อตแลนด์ได้พักนึง บีก้อเรียนรู้ที่จะรักสถานที่นี้นะคะ ได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปในส่วนอื่น ๆ ของสก๊อตแลนด์ซึ่งสวยงามมาก พวกพื้นที่ที่เรียกว่า Highlands พวกทะเลสาปต่าง ๆ ที่ขึ้นชื่อก้อได้แก่ Loch Lomond, Ben Lomond ไม่รู้บีสะกดผิดรึป่าวนะคะ คำว่า Loch แปลว่า ทะเลสาปค่ะ เมือง Edinburgh ก้อดูสวยงาม มีปราสาท Edinburgh ที่ดูอลังการ อ้อ ลืมบอกไปว่าที่สก๊อตแลนด์นั้น เต็มไปด้วยปราสาทค่ะ

ช่วงปิดเทอมบีก้อไปเที่ยวลอนดอนกะเพื่อน ๆ นานาชาติ ก้อเป็นอีกบรรยากาศนึง แล้วก้อไปเที่ยว Tower Bridge ซึ่งคนไทยมักจะไปเรียกเป็น London Bridge ไปเที่ยวพวกจัตุรัสต่าง ๆ ไปดูละครเวทีด้วย สนุกดีค่ะ

ตอนเลือกเรียน Elective Course บีก้อเลือกไปเรียนวิชา Managing in Europoe ที่ Tolousse ฝรั่งเศส ไม่รู้ว่าสะกดชื่อถูกรึป่าว เป็นอะไรที่เปิดหูเปิดตาไปอีกแบบเกี่ยวกับประเทศในยุโรป ว่าเค้าช่างมีวัฒนธรรม และการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันมาก ๆ เรียนจบแล้วก้อเช่ารถขับเที่ยวกับเพื่อนต่อในฝรั่งเศสและสเปน

ยุโรปกับอเมริกานั้นค่อนข้างจะเรียกได้ว่าแตกต่างกันพอสมควร หลังจากที่บีได้ใช้เวลาสักพักนึงในสก๊อตแลนด์และที่อื่น ๆ บีก้อรู้สึกชอบและหลงไหลอะไรหลาย ๆ อย่างในยุโรป ยุโรปในความรู้สึกบีช่างแสนโรแมนติก และดูอลังการ มีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน มีประวัติความเป็นมาที่หลากหลาย ตึกรามบ้านช่องหลาย ๆ แห่งจะพยายามรักษาสภาพภายนอกให้เหมือนของเก่า แต่ปรับปรุงภายในให้ดูทันสมัย เห็นบอกว่ารัฐบาลสนับสนุนการที่สถานที่ต่าง ๆ รักษา facade ของอาคารสถานที่ไว้ ดูแล้วคลาสสิกมาก ๆ ค่ะ อีกอย่างนึงที่บีชอบก้อคือ ชอบนั่งจิบกาแฟตามที่นั่งกลางแจ้ง แล้วมองดูชีวิตผู้คนในเมืองที่ผ่านไปมา

ตอนไปเที่ยวออสเตรเลีย ในความรู้สึกส่วนตัวของบี ถ้าจะเปรียบ Sydney และ Melbourne กับอเมริกาและยุโรป บีมีความรู้สึกว่าบรรยากาศในซิดนีย์นั้น เทียบได้กับบรรยากาศในอเมริกา ส่วนเมลเบิร์นนั้นจะละม้ายคล้ายยุโรปเอามาก ๆ เมืองเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อบอุ่น

อืม ง่วงแล้ว ขอจบแค่นี้ก่อนละกันนะคะ ยังไงก้อวิจารณ์หรือให้ข้อเสนอแนะบีด้วยนะคะ ยินดีรับฟังเพื่อปรับปรุงแก้ไขงานเขียนบีให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ