Bee's Private Corner

Monday, June 13, 2005

Studying in the UK...

ก่อนอื่น บีคงต้องขอขอบคุณคน ๆ หนึ่งที่ช่วยทำให้บีเกิดแรงบันดาลใจในงานเขียนชิ้นแรกในชีวิต อืม ค่ะ เป็นชิ้นแรกจริง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงานค่ะ หลังจากที่เคยใฝ่ฝันหลาย ๆ ครั้งว่าอยากจะเขียนประสบการณ์ต่าง ๆ ที่บีเคยประสบพบมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ทำงาน ประสบการณ์ที่ได้รับจากการท่องเที่ยว เป็นต้น

หัวข้อนี้ก็เป็น Special Request จากคน ๆ นั้นที่อยากให้บีเขียนค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเขียนได้เรื่องได้ราวอย่างไรบ้าง ยังไง ๆ บีก็เปิดรับข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงงานเขียนในอนาคตนะคะ หรือว่าถ้าอยากให้บีเขียนเรื่องไหนเป็นพิเศษก็ขอมาได้ค่ะ

เมื่อหลายปีก่อน บีได้มีโอกาสไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สหราชอาณาจักรในส่วนของสก๊อตแลนด์ เมืองกลาสโกว์ บียังจำได้แม่นว่าวันแรกที่ไปถึงนั้น จะต้องไปอยู่ที่หอพักนักศึกษา ซึ่งบีได้อยู่ชั้นหก นึกดูสิคะว่ามันแย่ขนาดไหนที่ไม่มีลิฟท์ แย่ตรงตอนที่เราต้องขนสัมภาระเนี่ยแหละค่ะ

อ้อ ลืมเล่าไปค่ะว่า ในระหว่างที่บีนั่งแท็กซี่จากสนามบินไปที่มหาวิทยาลัยนั้น บรรยากาศทมึน ๆ ขรึม ๆ ของสก๊อตแลนด์ทำให้บีรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เมืองที่ดูเก่า ๆ ซึ่งทราบภายหลังว่ากลาสโกว์เคยเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดร่องรอยความทรุดโทรมตามตึกต่าง ๆ บีจำไม่ได้ว่าเค้าใช้ศัพท์คำว่าอะไรนะคะ ขณะที่แท็กซี่แล่นไปตามท้องถนน ฉับพลันบีก้อเห็นตึกเก่า ๆ โทรม ๆ ดูคล้าย ๆ พวกตึกรัฐสภาอะไรเงี้ย ก้อเลยถามคนขับว่าตึกข้าง ๆ นี้คืออะไรหรือ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า Royal Infirmary บีก้อถามต่อว่าคืออะไรหรือ ก้อได้ทราบว่าคือโรงพยาบาล ซึ่งบีรู้สึกว่าถ้าบีเป็นคนไข้แล้วต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ดูเก่า ๆ แบบนี้ คงรู้สึกกลัวไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะได้กลับออกมาอีกรึเปล่า

ชีวิตนักศึกษามันก้อไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ค่ะ บีเคยทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก้อใช้ชีวิตอย่างสุขสบายใน Serviced Apartment ที่มีทั้งเตาอบ เตาไมโครเวฟ มีเครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เอาเป็นว่ามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังมีคนมาทำความสะอาดให้ทุกวันอีกด้วย แล้วก้อมีรถให้ขับอีกต่างหาก มาถึงกลาสโกว์พอเข้าหอแล้วรู้สึกว่า โหหหห ทำไมมันแย่แบบนี้นะ ห้องนอนก้อเล็กและไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์ ดูแล้วไม่ค่อยกล้านอนเพราะดูไม่ค่อยสะอาด ห้องน้ำเป็นแบบรวมเพราะว่าเป็นแฟลตอยู่กันหกคน ห้องครัวก้อแบบรวม ไมโครเวฟก้อไม่มี เวลาจะอุ่นหรือละลายอะไรเนี่ยก้อลำบากยากเย็น จะซักผ้าก้อต้องเดินไปไกล จะทำอะไร โอ๊ยยยย ทำไมมันลำบากลำบนแบบนี้ เมื่อเทียบกับชีวิตทำงานในอเมริกา

เท่านั้นยังไม่พอนะคะ สก๊อตแลนด์ยังได้ชื่อว่าเป็น Kingdom ที่วันหนึ่ง ๆ มีสี่ฤดูได้ คือว่า แดดออกอยู่ดี ๆ ก้อครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้วก้อจะมีฝนเทลงมา แล้วอีกพักนึงก้อสว่าง อากาศเย็น ๆ อะไรเงี้ย เพราะฉะนั้นร่ม หรือว่า Rain Jacket เนี่ยค่อนข้างสำคัญเลยทีเดียวค่ะ อากาศแบบนี้ ก้อยิ่งทำให้ความรู้สึกบีมันไม่ค่อยจะสดใส หรือสดชื่นเอาซะเลย

หลังจากที่บีขนกระเป๋าเข้าที่พ้กเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก้ออยากออกไปเดินหาซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของใช้จำเป็น ก้อเดินถามคนแถวนั้น โห เชื่อมั้ยคะ ขนาดบีคิดว่าภาษาอังกฤษบีก้อดีพอควรจากการเคยใช้ชีวิตต่างแดนมาแล้ว บีฟังคำอธิบายจากคุณป้าคนท้องถิ่นไม่รู้เรื่องเลย นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันคำพูด หรือคำเตือนของเพื่อน ๆ อเมริกันที่บอกบีก่อนจะไปเรียนว่า ยูรู้มั้ยว่า Scottish Accent นั้นหนา ฟังยาก ขนาด I ยังฟังไม่รู้เรื่องเลย บีถึงบางอ้อ และบรรลุสัจธรรมก้อตรงนี้เอง ถึงตอนนั้นเริ่มอยากร้องไห้ เพราะว่าเหนื่อยมาก

นอกจากนี้ ในเมืองที่บีอยู่ มีหลาย ๆ ส่วนของเมืองที่มีลักษณะเป็นทางลาดชันเหมือนต้องเดินขึ้นเขา โดยเฉพาะทางที่จะเข้าตึกเรียนบี มันชันมากเลย เพราะงั้น มีอยู่วันหนึ่งหลังจากไปอยู่ที่เมืองนั้น บีโทรกลับบ้าน เล่าโน่นเล่านี้แบบที่บีเพิ่งเล่าไปนั่นแหละ เล่าไปเล่ามาก้อร้องไห้ รู้สึกรันทดใจอย่างบอกไม่ถูก อืม ก้อคนเคยอยู่ค่อนข้างสุขสบายมังคะ ยังปรับตัวไม่ทันค่ะ

อ้อ ๆ ๆ ลืมเล่าไปอีกอย่างนึงค่ะ ว่าในสก๊อตแลนด์นั้น จะมีเครื่องแต่งกายประจำชาติของเค้าสำหรับผู้ชาย จะสวมใส่กระโปรงลายสก๊อต (tartan skirt)ที่เรียกว่า kilt ก่อนที่บีจะเดินทางไปศึกษาต่อนั้น เพื่อน ๆ ต่างชาติก้อมาคุยกะบี แล้วก้อถามบีว่า You know, what does a Scottish man wear under the kilt? บีก้ออึ้ง คือว่างงทั้งศัพท์ว่าไอ้ kilt เนี่ยมันคืออะไร แล้วก้องงว่ามาถามทำไมวะ อะไรเงี้ย ตอนแรกเค้าก้อบอกว่าให้ไปหาคำตอบเอาเองตอนไปถึงที่โน่นแล้ว แต่พอเจอลูกตื๊อของบีก้อเลยเฉลยว่า ตามขนบประเพณีของชาวสก๊อตแลนด์ ผู้ชายจะไม่สวมใส่อะไรเลยภายใต้กระโปรง kilt ที่เค้าสวมใส่กัน อืม น่าทึ่งดีนะคะ ตอนหลังที่เห็นเพื่อน ๆ ชาวสก๊อตช์ของบีนุ่งกระโปรงเนี่ย บีก้อถามเค้าว่าจริงรึป่าว เค้าก้อหัวเราะ ๆ บอกว่าจริง อืมมมมมม แหม น่าเปิดดูจัง อิ ๆ

อีกอย่างนึงที่เกี่ยวกับสก๊อตแลนด์ก้อคืออาหารประจำชาติที่เรียกว่า haggis (นิยามจาก online dictionary ของบีคือ made of sheep's or calf's viscera minced with oatmeal and suet and onions and boiled in the animal's stomach) คือเป็นอะไรที่แหยะ ๆ ทำจากพวกไส้ เครื่องในของแกะ อะไรเงี้ย ทานแล้วก้อรู้สึกแปลก ๆ นะคะ บีเคยลองทานแค่หนสองหน

หลังจากที่บีใช้ชีวิตอยู่ที่สก๊อตแลนด์ได้พักนึง บีก้อเรียนรู้ที่จะรักสถานที่นี้นะคะ ได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปในส่วนอื่น ๆ ของสก๊อตแลนด์ซึ่งสวยงามมาก พวกพื้นที่ที่เรียกว่า Highlands พวกทะเลสาปต่าง ๆ ที่ขึ้นชื่อก้อได้แก่ Loch Lomond, Ben Lomond ไม่รู้บีสะกดผิดรึป่าวนะคะ คำว่า Loch แปลว่า ทะเลสาปค่ะ เมือง Edinburgh ก้อดูสวยงาม มีปราสาท Edinburgh ที่ดูอลังการ อ้อ ลืมบอกไปว่าที่สก๊อตแลนด์นั้น เต็มไปด้วยปราสาทค่ะ

ช่วงปิดเทอมบีก้อไปเที่ยวลอนดอนกะเพื่อน ๆ นานาชาติ ก้อเป็นอีกบรรยากาศนึง แล้วก้อไปเที่ยว Tower Bridge ซึ่งคนไทยมักจะไปเรียกเป็น London Bridge ไปเที่ยวพวกจัตุรัสต่าง ๆ ไปดูละครเวทีด้วย สนุกดีค่ะ

ตอนเลือกเรียน Elective Course บีก้อเลือกไปเรียนวิชา Managing in Europoe ที่ Tolousse ฝรั่งเศส ไม่รู้ว่าสะกดชื่อถูกรึป่าว เป็นอะไรที่เปิดหูเปิดตาไปอีกแบบเกี่ยวกับประเทศในยุโรป ว่าเค้าช่างมีวัฒนธรรม และการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันมาก ๆ เรียนจบแล้วก้อเช่ารถขับเที่ยวกับเพื่อนต่อในฝรั่งเศสและสเปน

ยุโรปกับอเมริกานั้นค่อนข้างจะเรียกได้ว่าแตกต่างกันพอสมควร หลังจากที่บีได้ใช้เวลาสักพักนึงในสก๊อตแลนด์และที่อื่น ๆ บีก้อรู้สึกชอบและหลงไหลอะไรหลาย ๆ อย่างในยุโรป ยุโรปในความรู้สึกบีช่างแสนโรแมนติก และดูอลังการ มีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน มีประวัติความเป็นมาที่หลากหลาย ตึกรามบ้านช่องหลาย ๆ แห่งจะพยายามรักษาสภาพภายนอกให้เหมือนของเก่า แต่ปรับปรุงภายในให้ดูทันสมัย เห็นบอกว่ารัฐบาลสนับสนุนการที่สถานที่ต่าง ๆ รักษา facade ของอาคารสถานที่ไว้ ดูแล้วคลาสสิกมาก ๆ ค่ะ อีกอย่างนึงที่บีชอบก้อคือ ชอบนั่งจิบกาแฟตามที่นั่งกลางแจ้ง แล้วมองดูชีวิตผู้คนในเมืองที่ผ่านไปมา

ตอนไปเที่ยวออสเตรเลีย ในความรู้สึกส่วนตัวของบี ถ้าจะเปรียบ Sydney และ Melbourne กับอเมริกาและยุโรป บีมีความรู้สึกว่าบรรยากาศในซิดนีย์นั้น เทียบได้กับบรรยากาศในอเมริกา ส่วนเมลเบิร์นนั้นจะละม้ายคล้ายยุโรปเอามาก ๆ เมืองเล็ก ๆ น่ารัก ๆ อบอุ่น

อืม ง่วงแล้ว ขอจบแค่นี้ก่อนละกันนะคะ ยังไงก้อวิจารณ์หรือให้ข้อเสนอแนะบีด้วยนะคะ ยินดีรับฟังเพื่อปรับปรุงแก้ไขงานเขียนบีให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ

2 Comments:

  • At Monday, June 13, 2005 6:46:00 PM, Blogger The Corgiman said…

    อ่านแล้วชอบนะครับ เชื่อว่า บี ยังมีเรื่องราวชีวิตในต่างแดนมาเล่าให้ฟังอีกเยอะแน่ๆ

    พูดถึงชนบท ผมนึกถึงหนังสือของ peter myles (สงสัยจะสะกดผิด) เรื่อง A year in Provence (BBC เคยทำเป็นหนังด้วย) สไตล์การเขียนแบบนั้น ก็เป็นการเล่าเรื่องที่น่าสนใจนะครับ คือเล่าแบบเป็นลำดับเลย ตั้งแต่เดือนแรก ไล่ไปจนครบปี

     
  • At Saturday, January 19, 2008 10:29:00 AM, Anonymous Anonymous said…

    You are almost normal as well my dear, lol.

     

Post a Comment

<< Home