Bee's Private Corner

Wednesday, July 13, 2005

Motivating Yourself...

เคยรู้สึกท้อแท้รึเปล่าค่ะ ตัวบีเองก้อมีรู้สึกบ้างค่ะ แต่โชคดีหน่อยที่บีมีครอบครัวที่ดี คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนบีตลอดเวลา นอกจากนี้แล้ว บียังพบว่าหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างที่บีได้อ่าน หรือประสบกับตัวเองก้อมีส่วนในการเพิ่มกำลังใจ หรือว่าทำให้เราคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เรากำลังเจออยู่นั้น ก้อไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ วันนี้บีก้อเลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ได้อ่านไม่มากก้อน้อยค่ะ

จริง ๆ แล้วความเคร่งเครียดและความวิตกกังวลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมักจะทำให้เรารู้สึกอารมณ์ไม่ดี ทำให้ท้อถอย ท้อแท้ หรือไม่อยากทำอะไรเลยชั่วขณะ ทางกองสุขภาพจิตเคยเขียนแนะนำไว้ว่า วิธีง่าย ๆ ในการขจัดหรือลดความเครียดที่เกิดขึ้นซึ่งได้ผลดีถ้าหากลองนำไปใช้ดูมีดังต่อไปนี้ค่ะ

1. พูดออกมา คือพูดคุยกับคนที่เราเชื่อใจได้ ซึ่งจะทำให้ความตึงเครียดลดลง บีก้อมีครอบครัว หรือว่าเพื่อนสนิทนี่แหละค่ะ ที่จะพูดคุย ปรึกษาได้ จะปรึกษาใครก้อขึ้นอยู่กับเรื่องที่ไม่สบายใจด้วย ถ้าเป็นเรื่องงานก้อมักคุยกับเพื่อนที่เข้าใจลักษณะงานของบีมากกว่า เพราะเค้าจะเข้าใจสถานการณ์และเห็นอะไรได้ลึกซึ้งกว่า เป็นต้น

2. หนีไปชั่วขณะ เช่น ไปดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นกีฬา จะทำให้อารมณ์และสติปัญญาดีขึ้น พร้อมที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับความยุ่งยากใจต่อไปได้เป็นอย่างดี เวลามีอะไรไม่สบายใจ สิ่งแรกที่บีนึกถึงคือบ้านค่ะ อยากรีบกลับบ้านมาอยู่กับคุณแม่และพี่น้อง รู้สึกว่ามันอบอุ่น และเป็นเกราะป้องกันตัวเราได้อย่างดี นอกจากนี้ก้ออาจจะหมกตัวอยู่ในห้อง นั่งฟังเพลง ปล่อยใจล่องลอย ก้อช่วยได้ค่ะ

3. หาทางออกเมื่อโกรธ ควรเก็บความรู้สึกโกรธไว้ก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วไปทำกิจกรรมอย่างอื่น หลายครั้งที่เวลาเราโกรธ มักพูดอะไรออกมา หรือทำอะไรลงไปแล้วมาเสียใจภายหลังซึ่งจริง ๆ มันไม่ดีเลย บีเองก้อเคยเป็นค่ะ แต่โชคดีที่ไปปากไม่ดีกะคนที่บ้าน ซึ่งเค้าก้อพร้อมจะให้อภัยเราเสมอ คิดดูสิคะว่าถ้าเป็นคนอื่น เค้าอาจจะเลิกคบกับเรา หรือว่าไม่สนิทใจกับเราแบบที่ผ่านมาก้อได้

4. ให้โอกาส มีการประนีประนอม รับฟังคนอื่นเพราะบางครั้งเราอาจเป็นฝ่ายผิดก็ได้ ถ้าเป็นฝ่ายถูกก้อหาหลักฐานมาอ้างอิง หันหน้าเข้าหากัน

5. ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ถ้ารู้สึกกลุ้มใจท้อแท้ตลอดเวลา ลองทำงานให้คนอื่นแล้วจะรู้สึกว่าตนเองมีค่าขึ้นที่ได้ทำประโยชน์ต่อคนอื่น บางทีบีก้อไปทำบุญโลงศพค่ะ หรือไม่ก้อทำบุญทำทานซึ่งทำให้สุขใจได้พอสมควรค่ะ

6. ทำเพียงอย่างเดียว คือทำสิ่งที่สำคัญและด่วนที่สุดก่อน บางครั้ง การทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ทำให้คุณรู้สึกเครียด และไม่รู้ว่าจะทำสิ่งไหนก่อน จากประสบการณ์ในการทำงาน บีก้อมักจะเจอแต่งานด่วน ๆ เยอะแยะไปหมด งานที่ปรึกษามักจะทำให้เราเครียด เพราะว่ากำหนดการนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดโดยเฉพาะสิ่งที่สัญญากับลูกค้า ดังนั้น การทำแผนงาน การติดตามงานอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราทราบถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า และแก้ไขได้ดีกว่า รวมทั้งสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้หากจำเป็นด้วย

7. หลีกเลี่ยงความเป็นคนเก่ง จริง ๆ แล้วบีก้อไม่รู้ว่าตัวเองเก่งมั้ย แต่มักจะมีคนชมอยู่บ่อย ๆ ว่าเก่ง อิ ๆ โดยเฉพาะจากคนที่แช็ทด้วย เค้ามักบอกว่าบีฉลาด แล้วก้อ witty สามารถโต้ตอบทันควัน โดยใช้ความคิดด้วย ส่วนตัวบีเองไม่ชอบคนที่คุยโอ้อวดว่าตัวเองเก่งหรือว่าเหนือคนอื่น บีว่าคนเหล่านี้น่ะ แท้จริงแล้วต้องการปลอบใจหรือบอกกับตัวเค้าเองเพื่อให้ตัวเองมั่นใจว่าตัวเองเก่ง อาจจะแบบว่าไม่มีคนอื่นคอยชมมั้งคะ พวกนี้บีว่ามีปัญหาหรือปมด้อยทางด้านจิตใจ ขอโทษด้วยนะคะ หากว่าบีปากจัดไปหน่อย

8. เข้าใจที่จะติชม จริง ๆ แล้ว การชมไม่ได้ต้องใช้พลังงานหรือความพยายามมากเลย แต่กลับมีผลมากมายต่อจิตใจของผู้รับคำชม คนเราทำอะไรดี ก้อหวังจะให้คน recognized ทำอะไรผิดก้อหวังจะให้คนให้อภัย การติคนอื่นก้อควรทำด้วยเหตุผล มีการยกตัวอย่างว่าทำไมถึงได้ติเค้า แล้วก้อสอนด้วยว่าควรจะทำอย่างไรถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ไม่ใช่ติลูกเดียว

9. หยุดการชิงดีชิงเด่น ส่วนตัวบีเองนั้น บีไม่ชอบไปแข่งกะใคร คติในการทำงาน หรือว่าทำอะไรก้อแล้วแต่ก้อคือ ทำให้ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง ผลที่ได้เท่าที่สังเกตก้อคือ นาย หรือว่าคนอื่น ๆ มักจะมองเห็นเองว่าบีเป็นอย่างไร ถึงแม้บางครั้ง จะมีคนที่เหมือนมาแก่งแย่งชิงดี เอาหน้า แต่เค้าก้อจะพ่ายไปเองในที่สุด เพราะถ้าเรามีความรู้ ความสามารถแล้ว มันจะแสดงออกมาเองโดยทำให้คนอื่นรับทราบว่าจริง ๆ แล้ว งานมันผลิตมาจากไหน และใครกันแน่ที่ทำงานจริง ๆ หรือว่าบีโชคดีก้อไม่รู้นะคะ ที่คนอื่นมองเห็นความดี ความตั้งใจ ความสามารถของบี เพราะเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา คนบางคน ก้อมักถูกเอาหน้า แต่อย่างไรก้อตาม บีว่าการชิงดีชิงเด่น มันก้อไม่ได้ดีต่อสภาพจิตใจเราสักเท่าไหร่นะคะ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า

10. ทำตัวให้พร้อมเสมอเพื่อรับสถานการณ์ อันนี้อาจจะมาจากประสบการณ์ด้วย คือว่าถ้าเราเจออะไรมามาก เราก้อจะรู้สึกพร้อมมากขึ้นเมื่อเจอสถานการณ์ต่าง ๆ ยิ่งเราเจอปัญหามาก เราก้อจะแกร่งขึ้น และจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้น เดี๋ยวนี้พอเจอปัญหาอะไร บีก้อไม่ค่อยกังวลมาก หรือเครียดมากเท่าเมื่อก่อน แน่นอน ความเครียดและความกังวลมันก้อคงยังมีบ้าง แต่รู้สึกว่าจัดการกับมันได้ดีขึ้นค่ะ เพราะงั้น คนที่รู้สึกไม่ดีเพราะว่าเจอปัญหาบ่อย ๆ ขอให้คิดในทางกลับกันนะคะว่ามันจะทำให้คุณแกร่งมากขึ้น และจัดการกับปัญหาได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ

11. จัดตารางเพื่อพักผ่อน หากสุขภาพไม่ดีแล้ว อะไร ๆ ก้อแย่ไปหมดค่ะ ควรมีเวลาส่วนตัวเพื่อพักผ่อน หรือว่าทำอะไรที่เราชอบบ้างนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การฟังเพลง การพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท การออกกำลังกายเบา ๆ การนอนหลับ การทำงานอดิเรก ทำ ๆ เข้าไปเถอะค่ะ ให้มันเพลิน ๆ บีเคยอ่านหนังสือซึ่งบอกว่า เวลาจิตใจมีสมาธิ ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานอดิเรกหรือทำอะไรเพลิน ๆ แล้ว โอกาสที่จะทำให้เราคิดแก้ปัญหา หรือตรึกตรองเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ จะมีมากขึ้น เค้ายกตัวอย่างว่า แค่นั่งทอผ้าไปเรื่อย ๆ จิตก้อเกิดสมาธิ ทำให้ตรึกตรองอะไรต่าง ๆ ได้ดีขึ้น คิดหาทางออกในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น คนเราไม่ควรครุ่นคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนาน หรือว่ามากเกินไปนะคะ จะทำให้เราเป็นโรคซึมเศร้าได้

นอกจากนี้แล้ว ประสบการณ์ส่วนตัวของบีในการ motivate ตัวเอง ที่ได้จากการอ่านบ้าง การพูดคุย หรือแช็ทกะคนอื่นบ้าง ก้ออย่างเช่น เค้าบอกว่าอย่าไปวัดความสำเร็จที่ความร่ำรวย แต่ที่ความสุขและสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ ให้เรากล้าที่จะเดินและไม่กลัวความล้มเหลว เพราะว่าคนที่ไม่เคยล้มเหลวเลย คือคนที่ไม่เคยกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรเลย ซึ่งทำให้คน ๆ นั้น ไม่เคยได้เรียนรู้อะไรเลย และอาจจะไม่เคยมีโอกาสได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ และสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิตเลยก้อได้

เมื่อคุณท้อแท้หรือล้มลง ให้เอาหลังของคุณล้มแนบกับพื้น เพราะว่าถ้าคุณยังสามารถมองเห็นฟ้าแล้ว คุณก้อยังสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้งนึง อันนี้บีก้อไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวอะไรกันกับถ้าล้มแบบคว่ำหน้าลงมันจะลุกไม่ขึ้นหรืออย่างไร อิ ๆ

อ้อ ให้รางวัลกับชีวิตตัวเองบ้างนะคะ อยากไปสปา หรือไปนวดน้ำมันก้อไปบ้าง มันก้อผ่อนคลายและมีความสุขดีนะคะ จะขัดผิว นวดตัว นวดหน้าบ้าง ก้อทำ ๆ ไปเถอะค่ะ ทำงานมาเยอะแล้ว ก้อ spoil ตัวเองบ้าง เคยมีคนพูดถึงหนังสือ Toxic at work ซึ่งพูดถึงว่าการทำงานของคนเราในปัจจุบัน เจอความเครียดเยอะ ทำให้เกิดพิษต่อร่างกายได้ ทำงานหาเงินได้ ถ้าเก็บไว้อย่างเดียวโดยไม่ใช้ หากเราเป็นอะไรไปก้อจะมาเสียดายว่าไม่ได้ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง บีก้อไม่ได้หมายความว่าจะให้ใช้เงินลูกเดียว คือมันก้อคงต้องมีการวางแผนบ้าง คือมีทั้งเก็บออม มีทั้งส่วนที่จะใช้เพื่อตัวเองบ้าง ไปท่องเที่ยวหาความรู้และความสุขบ้าง สำหรับบี ก้อมีทั้งเก็บ ทั้งให้คุณแม่ ทั้งทำประกันชีวิตและสุขภาพ ทั้งท่องเที่ยวไปทั่ว ทั้งซื้ออาหารเสริมสุขภาพ ทั้งมีไปสปาบ้าง หรือซื้อผลิตภัณฑ์มาขัดผิวบ้าง บำรุงผม บำรุงผิวบ้าง มันก้อรู้สึกดีเหมือนกัน คือบีว่ามันก้อให้คุณค่าต่อจิตใจนะคะ ให้ตังค์คุณแม่ เห็นคุณแม่ยิ้มก้อชื่นใจแล้ว ท่านเลี้ยงเรามาเยอะ มีโอกาสก้อตอบแทนท่านบ้าง เวลาท่านไปเที่ยวต่างประเทศ ก้อออกค่าทัวร์ให้บ้าง หรือว่าให้ค่าทานขนมท่านบ้าง ท่านก้อปลื้มแย่แล้ว ผลที่ได้ก้อคือความสุขใจของเราเช่นกัน ที่เห็นคนที่เรารักมากมีความสุข อีกอย่างคือ บีมักจะพาครอบครัวและหลาน ๆ ไปทานข้าว หรือว่าเวลาเราไปเที่ยวกัน ก้อจะออกค่ารถ ค่าที่พักให้บ้าง อันนี้ก้อเป็นความสุขใจอย่างนึงเหมือนกัน

ที่พูด ๆ มา คืออยากให้เราลองนั่งคิดดูซิว่า อะไรบ้างที่ทำให้เรามีความสุข การทำให้คนอื่นมีความสุขก้อมีส่วนทำให้เรามีสุขได้เช่นกัน เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่จะว่าเงินไม่สำคัญเลยก้อไม่ใช่ คนเราต้องยึดหลักสมดุลย์ หาเงินแล้วก้อใช้เงินบ้าง ทำอะไรเพลิน ๆ ที่ให้คุณค่าต่อจิตใจ ท้ายที่สุดแล้ว การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น จุดดีคือ เราสามารถคิด พูด วางแผน สื่อสาร และทำอะไรได้เยอะแยะ ดังนั้น เราควรที่จะใช้ข้อดีเหล่านี้ มาทำให้เรามีความสุขในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ด้วย ดีมั้ยล่ะคะ ???

Holidaying in Nepal...

วันนี้ขอเล่าเรื่องราวการไปเที่ยวเนปาลตามคำขอของน้องเดวิดค่ะ ดีใจมากที่มีคนหลงเข้ามาอ่านบทความของบี อิ ๆ ยังไงก้อช่วยเผยแพร่ด้วยนะคะ เผื่อจะดังค่ะ

จำได้ว่าอยากไปเที่ยวเนปาลหลายครั้งแล้ว จนในที่สุดหาคนไปด้วยได้ก้อเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว ถ้าใครอยากไปเที่ยวเนปาล ช่วงที่อากาศดี แล้วก้อเห็นวิวทิวทัศน์ชัดเจนโดยเฉพาะ Mt. Everest นั้นก้อจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ บีไปเนปาลปี 2003 ตั้งแต่ 25 ต.ค. ถึง 2 พ.ย. 9 วัน 8 คืน อากาศเย็นกำลังสบาย แต่ก้อมีบางเมืองที่ค่อนข้างร้อนอยู่เหมือนกัน ช่วงเดือน ต.ค. หรือ พ.ย. นั้น เค้าจะมีงานทางศาสนาที่สำคัญและยิ่งใหญ่อยู่สองงาน บีกะเพื่อนก้อมีโอกาสได้ร่วมเฉลิมฉลองอยู่งานนึง โดยเจ้าของทัวร์ที่บีติดต่อนั้น เชิญให้บีกะเพื่อนร่วมงานในครอบครัวของเค้าด้วย

ทัวร์เนปาลของบีนั้น บีใช้ travel agent ท้องถิ่นที่เพื่อนแนะนำ เป็นคนช่างพูดมากเลย มีการติดต่อทางอีเมล์พอสมควรก่อนจะเดินทาง โดยที่บีบอกสไตล์และคอนเซปต์การท่องเที่ยว สิ่งที่อยากทำ เวลาที่มี ให้กับเค้าช่วยจัดให้ เค้าก้อวางแผนมาให้ แล้วก้อมีการปรับเปลี่ยนบ้าง รวมทั้งตกลงราคากัน อืม ทริปนี้ไม่แพงเลย รวมค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ไกด์ รถส่วนตัวที่มีคนขับ รวมทั้งน้ำมัน และอาหารแล้ว อยู่ที่ประมาณ 35,000 บาทเอง ใครอยากได้ Itinerary หรือว่ารายละเอียดแผนการท่องเที่ยวแล้วก้อชื่อไกด์ที่ติดต่อก้อสามารถขอบีได้นะคะ หลังจากที่บีกลับมา ก้อมีแนะนำให้เพื่อนอีกคนนึง ซึ่งก้อไปเที่ยวเนปาลกับเพื่อนเค้าในปีถัดมา ซึ่งเค้าก้อชี่นชอบมากค่ะ

การไปเที่ยวเนปาลครั้งนี้ ทำให้บีได้รู้ว่า คนแขกเนปาลนั้น มีความซื่อ จริงใจ มากกว่าแขกอินเดีย คือจะไปเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย การช็อปปิ้งที่นั่นก้อต้องต่อราคากันยกใหญ่ แบบว่าคล้าย ๆ ตอนไปอินโดนีเซีย ช่วงแรกจะซื้อของได้ราคานึง พออยู่ไปอยู่มา ของชนิดเดียวกันที่ซื้อ เราจะซื้อได้ในราคาประมาณครึ่งนึงของที่ซื้อครั้งแรก มันน่ามั้ยล่ะ แล้วเวลาเดินเข้าร้านไหน เค้าก้อมักจะถามเราก่อนว่า How much you give me? บีก้อมักจะตอบไปว่า You tell me, how much you can give me อิ ๆ แหม เล่นมาถามแบบนี้ได้ไง เรายิ่งไม่รู้ราคาอยู่ด้วย เพราะงั้นถ้าไปช็อป ให้ต่อมาก ๆ ไว้ก่อน ประมาณ 50-70 % จากราคาเต็ม บีกะเพื่อนไม่ค่อยกล้าต่อมาก แต่ภายหลังอย่างที่บอก ค้นพบความจริงว่าของที่ซื้อในวันแรก ๆ แพงกว่าที่ซื้อในวันหลัง ๆ มาก

สำหรับทริปเนปาลครั้งนี้ เราก้อไปเที่ยวเมืองสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ:

1. Kathmandu เราพักกันที่ถนนเส้นที่เหมือนถนนข้าวสารมากค่ะ ชื่อ Thamel road มีร้านรวงเยอะแยะไปหมด ถนนก้อเป็นเส้นยาว ๆ ให้เดินได้เพลิน ๆ วันแรกที่ไปถึงไกด์ของเราก้อพาไป Durbar Square กับ Swoyambhunath ซึ่งเป็น World Heritage หรือบางคนเรียกว่า Monkey temple เนื่องจากมีลิงเยอะ หลังจากนั้น พวกเราก้อไปบ้านของไกด์ตามคำเชิญเพื่อดูพิธีบูชาเจ้าแม่ลักมี คือว่าช่วงนี้เป็นเทศกาลที่เรียกว่า Tihar Festival ซึ่งจะมีพิธีอยู่ห้าวัน ถนนหนทางและบ้านเรือนต่าง ๆ ล้วนประดับประดาด้วยดอกไม้สีเหลือง ตรงขอบประตูบ้าน มีการเปิดไฟ จุดเทียน ไกด์ของเรามีการแต้ม Tika ที่หน้าผากให้เราสองคน เป็นสีแดง เค้าบอกว่าเพื่อความโชคดีและร่ำรวย เค้าจะมีไหว้ขนมหวานมากมายหลายชนิด คืนนั้นพวกเราทานข้าวเย็นที่บ้านเค้า ดื่มเบียร์ท้องถิ่นรสชาดดีไม่ขม แล้วก้อกิน Mutton ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของเนปาลมั้ง ไกด์เล่าว่า อาหารหลักของเนปาลจะเป็นพวกผักและถั่วเยอะ พวกเนื้อสัตว์จะไม่ค่อยมี หรือมีก้อจะมีนิดหน่อย แล้วแต่ฐานะครอบครัวด้วย ส่วนวันถัดไปเค้าก้อให้ไกด์ท้องถิ่นพาไปดูวัดวาอารามของเนปาลที่เป็นวัดฮินดู เป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Pashupatinath มีศิวลึงค์มากมายซึ่งเค้าบอกว่าเป็นตัวแทนของพระศิวะ แล้วก้อเห็นแท่นเผาศพตามวรรณะ เรียงรายอยู่รอบ ๆ เห็นพิธีเผาศพด้วย เค้าเอาศพวางบนแท่น ซึ่งแท่นเหล่านี้เรียงรายอยู่ตามแม่น้ำของวัดแห่งนั้น ไกด์เล่าให้ฟังว่า ปกติแล้วเวลามีคนตาย เค้าจะมีการรวมญาติแล้วก้อนำไปเผาเลย ลูกชายทุกคนของผู้ตายต้องอยู่แต่ในห้องเงียบ ๆ เพื่อสวดมนต์ ไม่แตะต้องอะไรเลย จากนั้นก้อไปดูพวก จัตุรัสต่าง ๆ บีชอบมาก มีความรู้สึกว่าสถาปัตยกรรมของเนปาลมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก แล้วก้อมีบางส่วนของเมืองที่ดูแล้วคล้าย ๆ ยุโรป บ้านเรือนมีสีสรรสดใส ชอบมากเลย ช่วงบ่ายก้อไป Dakshinkali ซึ่งมีเจ้าแม่กาลีอยู่ที่นั่น เป็นที่ ๆ คนจะไปแก้บน หรือบูชายันต์ วันนั้นมีโอกาสเห็นคนเอาแพะมาเชือดโดยการตัดคอด้วย น่ากลัวมาก ๆ จากนั้นไปอีกสองสามแห่งก่อนจะกลับที่พัก แล้วก้อไปเดินช็อปปิ้งกับทานอาหารของอินเดียทางใต้ มาเนปาลครั้งนี้ ทานแต่อาหารเนปาลล้วน ๆ ซึ่งบีและเพื่อนก้อชอบกันทั้งคู่ค่ะ รสชาดดี

2. Nagarkot เป็นเมืองที่เห็นทิวทัศน์ของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้ชัดเจนมาก ๆ บีไปพักที่โรงแรมซึ่งอยู่สูงจากระดับพื้นดินพอควร ที่พักน่ารัก สามารถมองเห็นยอดเขาจากห้องได้ แล้วก้อมีเก้าอี้นั่งเล่นท่ามกลางธรรมชาติและวิวยอดเขา บีกะเพื่อนไปนั่งจิบชาเนปาลีร้อน ๆ คุยกัน อ่านหนังสือเล่นไปด้วย มีความสุขมาก ๆ อ้อ จำได้ว่าสบู่ของที่โรงแรมนี้หอมกลิ่นตะไคร้มาก ๆ ๆ ๆ เลยค่ะ ชอบมากเลย

3. Chitwan ก่อนถึงเมืองนี้ พวกเราก้อไปล่องแพกัน ชีวิตนี้ก้อเพิ่งล่องแพเป็นครั้งแรกค่ะ เป็นแพยาง สนุกและตื่นเต้นมาก แพเกือบล่มหลายครั้งก้อร้องกรี๊ด ๆ กันใหญ่ ต้องบอกว่าห้องส้วมที่นี่แย่มาก สกปรกสุด ๆ ก่อนจะลงแพแวะเข้าห้องน้ำแล้วก้อรู้สึกอยากจะอ๊วกจริง ๆ นะคะ แต่ทำไงได้ อ้อ คนขับแพเค้าคิดว่าบีกะเพื่อนเพิ่งจะอายุ 19 กะ 22 เอง เค้าอายุ 22 แต่หน้าตากร้านแดด กร้านลมมาก รอยเหี่ยวก้อเยอะ หลังจากล่องแพแล้วเราก้อเดินทางต่อไปยัง Royal Chitwan National Park ไปพักที่ Jungle Safari Lodge ซึ่ง ณ ที่นี้ เราก้อได้เห็นพวกชาวพื้นเมืองเดิม ได้ไปเดินดูนก คือเป็น Jungle Walk Tour ไกด์ก้อจะชี้ให้ดูนก และต้นไม้อย่างตื่นเต้น แต่บีกะเพื่อนไม่ค่อยตื่นเต้นแบบคนต่างชาติอื่น ๆ สงสัยเพราะว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาที่เราเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทยมั้ง จากนั้นก้อขี่หลังช้างเพื่อเดินป่าอีกประมาณ 3 ชั่วโมง อืมมมม เดินป่าตั้งนาน แต่ที่เห็นก้อมีแต่ฮิปโปตัวเดียวเอง แถมแดดร้อนเปรี้ยง ๆ แล้วก้อเมื่อยก้นด้วย อิ ๆ ไม่ได้เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจสักเท่าไหร่ ช่วงบ่ายก้อนั่งเรือ Canoe ล่องไปตามแม่น้ำ Rapti ร้อนมาก ๆ อีกเช่นเคย ไม่เห็นค่อยมีอะไร จืดชืดมาก จากนั้นก้อไป Elephant Breeding Center ดูไม่ค่อยออกหรอกค่ะว่าเป็นศูนย์อะไรอย่างเงี้ย เพราะดูมันลูกทุ่งมาก ๆ เลย เจอช้างแม่ลูกอ่อน เห็นลูกช้างดูดนมแม่ด้วย พวกฝรั่งตื่นเต้นกับช้างและลูกช้างมาก ๆ ส่วนบีกะเพื่อนก้อยืนเซ็ง ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร อิ ๆ ตอนกลางคืนก้อไปดู Stick dance ซึ่งเป็นการแสดงพื้นบ้านของที่นั่น ที่เมืองนี้ ไฟมักจะดับเป็นช่วง ๆ ซึ่งไกด์บอกว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากคนที่นี่ไม่คุ้นเคยกับการใช้ไฟฟ้า มักอยู่กับธรรมชาติและเชื้อเพลิงธรรมชาติ

4. Pokhara ที่นี่บรรยากาศสวยงามมากค่ะ มาที่นี่เพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้นบนเขา Sarangkot จะเห็นพวกขุนเขา และพระอาทิตย์ขึ้น มีนักท่องเที่ยวขึ้นมากันเยอะ แล้วก้อมีนั่งเรือล่องใน Fewa Lake บรรยากาศดีมาก พักที่โรงแรม Lake View Resort แล้วก้อมีไปเที่ยววัด Bindabasini ซึ่งที่นี่เป็นวัดฮินดู แล้วเราก้อเห็นคนบูชายันต์โดยใช้ไก่ มีการเชือดคอไก่จนหัวหลุดกระเด็นแล้วเอาหัวไปไหว้ god ส่วนตัวนั้นโยนลงในถัง ซึ่งบีกะเพื่อนยังได้ยินเสียงไก่มันดิ้นกระทบกับถังด้วย เหมือนยังไม่รู้ตัวว่ามันตายแล้ว น่ากลัวมาก จากนั้นไป Seti River George เป็นน้ำไหลลงมากจาก Ananpura mountain ซึ่งแปลว่า Iced water คือน้ำในแม่น้ำเป็นน้ำที่ละลายจากหิมะนั่นเอง แล้วก้อไปน้ำตก David Falls โดยบีกะเพื่อนก้อปีนลงไปในถ้ำด้วย ไป Regional museum ซึ่งทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเนปาลเพิ่มขึ้นมาก เช่นในเรื่องของ Shaligram ซึ่งเป็นหิน Fossil เรื่องของการทำพิธีสำหรับคนตาย เรื่องของ Gurkans ซึ่งเป็นทหารกล้าของเนปาล แล้วก้อไป Old Market ซึ่งก้อไม่ได้ขายอะไรแล้ว แต่เป็นสถาปัตยกรรมเก่า ๆ ที่สวยงาม ที่เหลือของวันนั้นก้อกระหน่ำช็อปปิ้งกันแหลกกับเพื่อน ซื้อกระเป๋าแบบพื้นเมือง แล้วก้อกำไลเยอะแยะ ที่นี่เค้าจะมีกำไล หรือเครื่องประดับทำจากกระดูกของตัวจามรีเยอะ

วันสุดท้ายที่กลับมา Kathmandu อีกครั้งนึง ก้อแวะซื้อ Pashmina ซึ่งเป็นผ้าคลุมไหล่ทำจากขนใต้ท้องแพะที่อยู่บนเขา ซึ่งก้อมีหลายเกรด ที่เห็นขายเยอะ ๆ คือ 70% Pashmina 30% Silk ลืมบอกไปว่าวันแรก ๆ ที่อยู่ที่ Kathmandu เดินเล่นช็อปปิ้งจนเจอเด็กเนปาลคนนึงที่เราไปซื้อกระเป๋าเค้า แล้วบียังมีสั่งทำรองเท้าแบบว่าพื้นเมืองปักลูกปัดแบบเลือกสีเองซึ่งบอกเค้าว่าจะกลับมารับวันที่จะกลับ กลายเป็นว่าเราสนิทกับเด็กคนนี้ เค้าก้ออายุยี่สิบต้น ๆ มั้ง เวลาเราต่อราคา เค้าก้อจะพูดว่า เค้าไม่ได้กำไรมากหรอก แล้วมันก้อเป็นค่าเล่าเรียนของเค้า คือฉลาดพูดให้เราแบบว่าไม่กล้าต่อมากไง วันที่เรากลับมาเค้าก้อเลยพาไปซื้อ Pashmina ที่ร้านญาติเค้า ได้ของคุณภาพดี ราคาเป็นกันเอง แถมปีถัดมาที่เพื่อนบีไปเที่ยวเนปาล เราก้อฝากของไปให้เค้า แล้วเค้าก้อฝากของกลับมาให้เราหลายชิ้นเลย รวมทั้งให้ของกับเพื่อนที่เพิ่งไปทีหลังด้วย

วันก่อนเดินทางกลับ บีกะเพื่อนไปทานอาหารมื้อเย็นที่ร้านอะไรจำไม่ได้แล้ว บรรยากาศดีมาก ๆ เทียบได้กับร้านอาหารระดับหรูในไทย บรรยากาศเป็นแบบพื้นเมืองแล้วก้อส่วนใหญ่มีแต่คนพื้นเมือง ร้านนี้ไกด์เป็นคนแนะนำ เราสั่งอาหารเนปาลมาทานกัน รสชาดดี ราคาก้อไม่แพงด้วย คนละประมาณสองร้อยกว่าบาทเอง

ทริปของเนปาลก้อจบลงด้วยประการฉะนี้ อุ๊ย ลืมเล่าเกี่ยวกับลุงหมีของเรา คือว่าคนขับรถที่พาพวกเราเที่ยวน่ะ เป็นคุณลุงพุงพลุ้ย ๆ อายุสักสี่สิบกว่ามั้ง ผิวคล้ำ ๆ พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย เราเรียกเค้าว่าลุงหมี รถที่พวกเรานั่งก้อเป็นรถตู้ค่อนข้างเก่า ไม่ได้เปิดแอร์ตลอดการเดินทาง รถยนต์ที่นั่นสภาพไม่ค่อยดี แล้วก้อรู้สึกว่าไม่ค่อยจะมีแอร์กัน หรือว่าประหยัดก้อไม่รู้เหมือนกัน ก้อเลยเจอฝุ่นมากในบางพื้นที่ ทำให้บีน้ำมูกไหลบ่อย ๆ เพราะเป็นคนแพ้ฝุ่น แล้วก้อตลอดการเดินทาง มักจะมีทหารมาคอยตรวจรถเสมอ เพราะว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยสงบมั้งคะ แต่พวกเราก้อไม่กลัว เราสองคนรู้สึกเหมือนเจ้าหญิงมากเลย คือว่ามีคนขับรถ แล้วก้อเที่ยวแบบว่าลุยบ้างนิดหน่อยแต่ไม่มาก พอดี ๆ อิ ๆ วันสุดท้าย น้องเค้าก้อเอาพวกน้ำยาล้างมือแบบไม่ต้องล้างน้ำ แล้วก้อขนมที่ไม่ได้ทานให้ลุงเค้า เค้าก้อทำหน้างง ๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะใช้เป็น หรือว่ากินเป็นรึป่าว